รากฐานของสถาปัตยกรรมร่วมสมัยของญี่ปุ่นเริ่มต้นจากการรับเอาอิทธิพลภายนอก ในที่นี่คือรับอิทธิพลจากตะวันตก สถาปนิกญี่ปุ่นรับกลืนกินกลั่นเป็นตัวพวกเขาเองในที่สุดตั้งแต่เมื่อเริ่มเปิดประเทศเมื่อกลางศตวรรษที่ 19 จวบจนเมื่อโลกเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ในศตวรรษที่ 20 สถาปัตยกรรมฝั่งตะวันตกได้ปรับตัวจากความนิยมแบบนีโอคลาสสิคสู่สถาปัตยกรรมสมัยใหม่ หรือ modern architecture ที่มีลักษณะเรียบง่ายมากขึ้น เพื่อตอบสนองแนวคิดเรื่องสถาปัตยกรรมรับใช้การปฏิวัติอุตสาหกรรม
ในศตวรรษที่ 20 สถาปัตยกรรมสมัยได้เฟื่องฟูจากฝั่งตะวันตกสู่ตะวันออกที่ญี่ปุ่นด้วยเช่นกัน มีสถาปนิกชาวยุโรป อเมริกัน จำนวนมากเข้ามาทำงานออกแบบในญี่ปุ่น หนึ่งในนั้นคือสถาปนิกระดับตำนานของยุคสมัยใหม่ ‘แฟรงก์ ลอยด์ ไรต์’ สถาปนิกไร้ปริญญานามอุโฆษของศตวรรษที่ 20 ที่ปฏิเสธไม่ได้สำหรับนักเรียนสถาปัตยกรรมว่าเขาคือตำนาน ไรต์นั้นเป็นสถาปนิกอเมริกันที่เดินทางมาญี่ปุ่นหลายครั้ง ด้วยเป็นนักสะสมงานศิลปะภาพพิมพ์ไม้ของญี่ปุ่นที่เรียกว่าอุคิโยะเอะ มีไรต์งานออกแบบหลายชิ้นที่ญี่ปุ่น โดยในช่วงแรกเขาได้มีงานออกแบบที่กรุงโตเกียวแล้วคือ โรงแรมอิมพีเรียล และโรงเรียนเมียวนิชิคัง แต่ต่อมาในช่วงปลายปี 1910 ไรต์ได้มีโอกาสสร้างงานนอกโตเกียว คือ Yodoko Guest House ตั้งอยู่ที่ภูมิภาคคันไซ ณ อิชิยะ จังหวัดเฮียวโงะ
เริ่มต้นเมื่อ ทะซะเอะมง ยะมะมุระ ผู้เป็นเจ้าของโรงสุราสาเกที่ชื่อเสียง สะคุระมะสะมุเนะ ต้องการบ้านพักตากอากาศ ให้เป็นบ้านหลังที่ 2 ของเขา ในไซท์อยู่เชิงเขา ที่มองออกไปจะพบกับวิวมุมกว้างของอ่าวโกเบ บ้านนี้ได้เริ่มต้นออกแบบเมื่อปี 1918 สร้างแล้วเสร็จเมื่อปี 1924 นับจากวันที่ออกแบบ นับได้ว่างานดีไซน์นี้มีอายุ 100 กว่าปีแล้ว แต่เมื่อเข้ามาชม ยังมีดูดีมีเสน่ห์แม้จะผ่านมากว่าศตวรรษแล้วก็ตาม บ้านนี้ไรต์มี local architect 2 คน ที่ช่วยสานงานจนแล้วเสร็จ คือ อะระตะ เอ็นโดะ ศิษย์ของไรต์ที่ตามมาจากสำนักทาไลซิน และมะโคะโตะ มินะมิ
แรกเริ่มเมื่อสร้างเสร็จ บ้านนี้ทำหน้าที่เป็นบ้านตากอากาศ จวบจนเมื่อปี 1989 จึงได้เปิดให้เข้าชมแบบสาธารณะ ตัวบ้านได้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีเนื้อหาคือการเข้าไปอยู่ในสเปซของไรต์ จึงได้เป็นจุดเริ่มต้นที่ผมได้เข้ามาชมยังทุกส่วนของบ้านหลังนี้ ผมเริ่มต้นจากเดินออกจากสถานีรถไฟมาราว 10 นาที ก็พาตัวเองมาถึงหน้าประตูบ้าน มันถูกตั้งอยู่บนเนินชัน ส่วนแรกที่พบคือหน้าบ้านที่กรุด้วยหินลวดลายอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ที่เป็นลายเซนของไรต์ จนเมื่อซื้อตั๋วจึงได้เริ่มเข้าไปสำรวจยังสเปซภายในที่มากด้วยรายละเอียด
พื้นที่ส่วนแรกที่พบคือส่วนห้องรับแขกแบบตะวันตก ตัวห้องถูกประดับด้วยหินโอะยะแกะลวดลายแบบเดียวกันทั้งหลัง หน้าต่างถูกประดับด้วยช่องแผ่นทองแดง สเปซภายในงานของไรต์ที่สัมผัสได้จากงานบ้านที่เขาออกแบบคือเสกลที่มีความเฉพาะ ด้วยความเล็กเป็นพิเศษ ทั้งจากความสูงของสเปซภายในห้องที่มีความสูงไม่มาก ขนาดและความสูงของเฟอร์นิเจอร์ที่น้อยกว่าปรกติสำหรับงานออกแบบจากสถาปนิกตะวันตก อีกทั้งความสูงของวงกบบนที่แทบจะติดหัวเมื่อเดินผ่าน สเกลของสเปซแบบนี้ทำให้ผู้ที่ขนาดตัวเล็ก เมื่อเข้ามาใช้งานจะรู้สึกว่าตัวใหญ่ขึ้นได้ มันช่วยสร้างอัตตาให้โตขึ้น ซึ่งสัดส่วนของสปซแบบนี้พบได้ในงานบ้านที่ไรต์ออกแบบในหลังอื่น ๆ เช่นกัน แต่กลับไม่พบลักษณะนี้ในงานสถาปัตยกรรมสาธารณะ ทำให้การเข้ามามีประสบการณ์ในงานออกแบบบ้านของเขามีความพิเศษที่ไม่สามารถอธิบายได้จากภาพถ่าย แม้จะใช้ช่างภาพฝีมือฉกาจแค่ไหนก็ตาม
เมื่อเคลื่อนตัวมายังชั้น 3 ส่วนที่พิเศษคือการปะทะกันของสเปซแบบญี่ปุ่น ในชั้นนี้มีห้องแบบญี่ปุ่นที่ปูด้วยเสื่อทะทะมิ มันช่วยให้ดูอบอุ่นขึ้น มีลักษณะการใช้งานที่ยืดหยุ่นแบบตะวันออก แต่หน้าต่างที่เปิดสูง มีม่านบางช่วยรักษาความสลัวเพียงเล็กน้อย ทำให้อารมณ์ของห้องแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่นเปลี่ยนอารมณ์ไป จนเมื่อถึงชั้น 4 ที่เป็นชั้นบนสุด เป็นห้องรับประทานอาหารพร้อมระเบียงกว้างที่สามารถมองเห็นเมืองโกเบไปถึงทะเลได้ในมุม 270 องศา จนเมื่อชมครบทุกส่วนใช้สอยแล้ว จะเห็นได้ว่าแกนหลักของบ้านคือแนวเหนือใต้ ซึ่งล้อไปกับภูมิประเทศ ทำให้สถาปัตยกรรมดูกลมกลืนไปกับที่ตั้ง มีความเชื่อมโยงกับธรรมชาติ แบบ Organic Architecture ที่ไรต์ใช้เป็นหลักในการออกแบบของเขาเสมอ
จวบจนชมภายในเสร็จ กลับมายังทางเข้าอีกครั้ง ได้พิจารณาอ่างน้ำหินที่มีรายละเอียดพิเศษ ซึ่งจะสามารถเห็นความพิเศษได้เมื่อฝนตกจนมีน้ำฝนไหลมาจากหลังคาสู่ท่อน้ำฝน น้ำในอ่างหินนี้จะเต็มแล้วล้นออกมาที่ร่องรินไปยังพื้นด้านล่าง ทำให้ความพิเศษของน้ำฝน ธรรมชาติ จะมาพบกันเมื่อเวลาฝนตกอย่างมากพอเท่านั้น
ภายนอกบ้านเป็นผนังคอนกรีตเรียบ กรุด้วยหินโอยะ ซึ่งเกิดลาวาและเถ้า มีลักษณะเป็นรูพรุน สามารถแกะสลักได้ง่าย มันจึงเป็นวัสดุที่ถูกเลือกให้กรุจนเป็นจุดเด่นของงานนี้ การใส่รายละเอียดแบบนี้ ทำให้ตัวบ้านถูกทอนเสกลลงจนมีสัดส่วนที่ดูกันเองมากขึ้น ซึ่งรายละเอียดแบบนี้จะพบได้ในงานของไรต์ช่วงเดียวกันในบ้านอื่น ๆ ที่สหรัฐอเมริกาเช่น Storer House,Samuel Freeman House,Millard House และ Ennis House
บ้านหลังนี้เป็นการปะทะกันของตะวันตก-ตะวันออก ใหม่-เก่า วัสดุสมัยใหม่-งานช่างฝีมือ ที่ควรประสบการณ์กับสถาปัตยกรรมที่รวมการก่อสร้างบ้านของไรต์ที่หาดูได้ในญี่ปุ่น หลังนี้หลังเดียวเท่านั้น