We will leave and never return… การสำรวจประวัติศาสตร์การรับรู้ของมนุษย์ ผ่านผลงานศิลปะอันงดงามและเปี่ยมความคิดของ “อริญชย์ รุ่งแจ้ง” | IAMEVERYTHING.CO

LOOKING ON EVERYTHING ?

EXPLORE ON EVERYTHING

We will leave and never return… การสำรวจประวัติศาสตร์การรับรู้ของมนุษย์
ผ่านผลงานศิลปะอันงดงามและเปี่ยมความคิดของ “อริญชย์ รุ่งแจ้ง”
Writer: Panu Boonpipattanapong
Photographer: 
Mc Suppha-riksh Phattrasitthichoke

   ในโลกศิลปะ มีผลงานศิลปะสองประเภทที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้ว ประเภทแรกเป็นผลงานศิลปะเน้นแนวคิดที่ประกอบด้วยแนวความคิดอันชาญฉลาด ลุ่มลึก จนทำให้ผู้ชมทึ่งในการคิดคำนวณอันเหนือชั้น อีกประเภทเป็นผลงานศิลปะที่เต็มไปด้วยสุนทรียะความงามที่สะกดผู้ชมให้ตื่นตะลึงกับองค์ประกอบทางสายตาอันเกิดจากทักษะการสร้างงานอันเชี่ยวชาญ ในขณะที่งานศิลปะบางงานแนวคิดดี แต่ขาดความงาม งานศิลปะบางงานมีความงาม แต่ขาดแนวคิดที่ดี การจะหาผลงานศิลปะที่มีคุณสมบัติครบถ้วนทั้งสองประการนั้นมีจำนวนน้อยนิดและพบเจอได้ไม่บ่อยนัก หากมีผลงานศิลปะของศิลปินผู้หนึึ่งเป็นหนึ่งในจำนวนน้อยนิดที่ว่า ศิลปินผู้นั้นมีชื่อว่า 
   อริญชย์ รุ่งแจ้ง
   หนึ่งในศิลปินร่วมสมัยชาวไทย ผู้ได้รับการคัดเลือกให้ร่วมแสดงงานในมหกรรมศิลปะที่ยิ่งใหญ่และสำคัญที่สุดของโลกอย่าง Venice Biennale และ Documenta ด้วยผลงานที่ผสมผสานความคิดอันลุ่มลึกแหลมคมของงานศิลปะ Conceptual Art เข้ากับสุนทรียะความงามของงานศิลปหัตถกรรมอันประณีตบรรจง และหลอมรวมเทคโนโลยีสมัยใหม่ เข้ากับเทคนิคเชิงช่างฝีมือแบบประเพณีได้อย่างกลมกลืนลงตัว เช่นเดียวกับนักเล่นแร่แปรธาตุอันชำนาญ อริญชย์เปลี่ยนความคิดของเขาให้กลายเป็นงานศิลปะที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความงามและความลุ่มลึกแหลมคม เขาทำงานศิลปะหลากสื่อหลายแขนง ทั้งประติมากรรม ศิลปะจัดวาง วิดีโอ หรือแม้แต่ข้าวของเครื่องใช้ทั่วไปในชีิวิตประจำวัน อริญชย์ใช้สิ่งเหล่านี้ท้าทายขนบเดิม ๆ ทางศิลปะและกระตุ้นให้คนเกิดการตั้งคำถามกับประวัติศาสตร์ การเมือง สังคม และสิ่งต่างๆ รอบตัวได้อย่างเปี่ยมชั้นเชิง

   ล่าสุด อริญชย์มีนิทรรศการแสดงเดี่ยวของเขาที่มีชื่อว่า “We will leave and never return... เราจะจากไปและไม่หวนคืนมา” อันประกอบด้วยผลงานศิลปะหลากสื่อหลายแขนง ทั้งงานจิตรกรรม, ประติมากรรม, ศิลปะจัดวาง และผลงานวิดีโอจัดวาง อันงดงาม ละเมียดละไม หากเต็มไปด้วยเนื้อหาอันลึกซึ้ง ที่มุ่งสำรวจประวัติศาสตร์การรับรู้ของมนุษย์ 

   ในประวัติศาสตร์ มนุษย์จัดการ ฉกฉวย และ ใช้ประโยชน์จากวัตถุกับธรรมชาติ รวมถึงมนุษย์ด้วยกันเอง และสัตว์ โดยอาศัยเรื่องแต่งที่มนุษย์สร้างขึ้น จนปัจจุบันที่เราพยายามสร้างวัตถุที่มีความสามารถในการจัดการทุกอย่างแทนมนุษย์ ความสามารถในการคิด จิตวิญญาณ หรือ สำนึกรู้ของมนุษย์จึงถูกถ่ายโอน และรวบรวมเข้าไว้ในจักรกลอัจฉริยะที่ควบคุมโดยคนบางกลุ่ม ที่สามารถควบคุม ตัดต่อ แต่งเติมตัวบทได้ตามต้องการ มนุษย์ในฐานะปัจเจกจึงได้สูญเสียความเป็นมนุษย์ไปทีละน้อย ๆ และถูกลบเลือนหายไปในที่สุด

   อริญชย์หยิบเอาผลงานของ “ขรัวอินโข่ง” จิตรกรเอกประจำรัชกาลที่ 4 ในสมัยรัตนโกสินทร์ ศิลปินไทยคนแรกที่ใช้เทคนิคการเขียนภาพแบบตะวันตก ที่แสดงปริมาตร ความลึก และระยะใกล้ไกลในภาพ มาเป็นแรงบันดาลใจตั้งต้นของผลงานในนิทรรศการครั้งนี้ของเขา

   “นิทรรศการครั้งนี้เริ่มต้นจากการที่เราสนใจภาพจิตรกรรมฝาผนังของขรัวอินโข่ง ในวัดบรมนิวาส ภายใต้แนวคิดของการที่ความเป็นจริง (Reality) ทำให้เกิดเรื่องแต่ง (Fiction) และเรื่องแต่งทำให้เกิดความเป็นจริงอีกที อีกเรื่องก็คือการสร้างความชอบธรรมของตัวบท ตั้งแต่ตอนที่ยังไม่มีภาษาหรือกฎหมายเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะฉะนั้นแล้ว ตัวบทก็คือเรื่องแต่งที่ทำให้เกิดความเป็นจริง เป็นรูปร่างของความเป็นจริง เราสนใจภาพเขียนของขรัวอินโข่ง เพราะเราไปสืบค้นในช่วงก่อนหน้า ในช่วงยุคล่าอาณานิคมว่าเรื่องเล่าอย่างเช่น รามายณะ ที่ส่งต่อมาจากเขมรสู่ลพบุรี ก็กลายมาเป็นพื้นฐานของความเป็นจริงในทิศทางการเมืองของประเทศไทย และถูกเขียนซ้ำขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งในสมัยรัชกาลที่ 1 เป็นเรื่องรามเกียรติ์ ซึ่งรามเกียรติ์ก็เป็นตัวบทที่ส่งผลกับความเป็นจริงในการสร้างโครงสร้างอำนาจของการบริหารประเทศด้วย ความน่าสนใจก็คือ ภาพเขียนที่รัชกาลที่ 4 ว่าจ้างขรัวอินโข่ง นั้น ทรงสั่งให้ลบตัวละครที่เป็นตัวบทเก่าออกหมด แล้วก็เขียนตัวละครใหม่ขึ้นมาให้เป็นชาวตะวันตกทั้งหมด เพื่อที่จะแนะนำและนำเสนอภาพความเป็นจริงที่จะต้องเกิดขึ้น ขรัวอินโข่งก็เขียนภาพโดยใช้ตัวบทจากพระไตรปิฏกบางตอน เพื่อเป็นการประสานกันระหว่างภาพของวัฒนธรรมตะวันตกและอิทธิพลตะวันตกที่ใช้บรรยายความคิดในเชิงศาสนาพุทธ”

   “สิ่งที่สำคัญในตัวงานชุดนี้คือเรื่องของการเปลี่ยนถ่ายความเป็นจริง และอำนาจของภาษาที่กำหนดความเป็นจริง ซึ่งเกิดขึ้นในสังคมมนุษย์มาอย่างต่อเนื่องยาวนาน ตั้งแต่ครั้งที่มนุษย์เรายังไม่มีความรู้เท่าไร และยังมีความเชื่อในเรื่องการนับถือผี (Animsim) ซึ่งเกิดจากความกลัว และความงมงาย (Ignorant) อันเกิดจากการขาดความรู้ในการที่อธิบายปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นรอบตัว เพราะฉะนั้น สิ่งที่มองไม่เห็นที่ส่งผลกระทบกับมนุษย์ ก็จะถูกสร้างขึ้นให้กลายเป็นจินตนาการ ซึ่งถูกใส่เข้าไปอยู่ในตัวแทนต่าง ๆ อย่าง ก้อนหิน, ต้นไม้ ด้วยความไม่รู้ และความงมงายของคน เมื่อสิ่งเหล่านี้มีวิวัฒนาการ ตัวละครก็จะถูกขยายเพิ่มขึ้นจากภูติผี มาเป็นเทวดา, พระเจ้า และมีโครงสร้างที่ชัดเจนขึ้น อย่างโครงสร้างทางศาสนา เพราะฉะนั้น ตัวบท หรือภาษา หรือเรื่องเล่า ก็จะถูกใช้ในการนำเสนอ และสร้างกฎระเบียบ กฎเกณฑ์ ด้วยภาพความเป็นจริงที่ทำให้คนต้องดำเนินชีวิตตาม แต่ในขณะเดียวกันก็มีการต่อต้านด้วยการปฏิเสธตลอดมา อย่างการปฏิเสธภูติผี, การปฏิเสธวิญญาณ และมีภาพของพระเจ้า พระผู้สร้างขึ้นมาแทนที่ หรือการปฏิเสธพระเจ้า และใช้ความเป็นมนุษย์เข้ามาแทนที่ ส่งผ่านเป็นวัฏจักร ในขณะที่ความเป็นจริงถูกกำกับโดยตัวบท โดยเรื่องเล่า ทีนี้สิ่งที่น่าสนใจในภาพเขียนขรัวอินโข่งคือการที่ตัวบทถูกเปลี่ยนโดยสิ้นเชิง ในการที่รัชกาลที่ 4 ปฏิเสธภาพรามเกียรติ์ ที่ใช้เป็นปฐมบทของการเมืองสยาม เพื่อนำความเป็นตะวันตกเข้ามาสู่ชุมชนสยามในสมัยนั้น สิ่งนี้กลายเป็นที่มาในการสร้างผลงานในนิทรรศการครั้งนี้”

   “ผลงานชุดนี้จะพูดถึงการเปลี่ยนผ่านตัวบทหรือภาพที่อยู่ในโลกที่จับต้องไม่ได้ ซึ่งส่งผ่านมาจากธรรมชาติสู่ภาพเขียน แล้วก็ไม่ได้หายไปไหน เป็นความเป็นจริงที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ จนในปัจจุบันก็ถูกส่งผ่านมาสู่ความเป็นดิจิทัล เพราะฉะนั้น ความกลัว ความงมงายก็ยังคงมีอยู่ ตัวเราซึ่งเป็นมนุษย์ที่ปรากฎอยู่ในความเป็นจริงก็ถูกทำให้เปลี่ยนโดยตัวบทที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ ในขณะเดียวกัน ความเป็นจริงก็ดำเนินคู่ขนานไปกับโลกที่จับต้องไม่ได้”

   “ในขณะที่ศิลปินในสมัยก่อนนั้นไม่ต่างอะไรกับ หมอผี (Shaman) หรือพราหมณ์ ที่เป็นผู้สร้างความชอบธรรมให้ผู้มีอำนาจ โดยการบรรยายเรื่องราวออกมา ในฐานะที่เราเป็นศิลปิน เราก็ตั้งข้อสังเกตว่า การที่ขรัวอินโข่งเป็นผู้รับใช้รัชกาลที่ 4 ในฐานะศิลปินและผู้สร้างสรรค์นั้น เขามีแรงต่อต้านต่อการที่ภาพเขียนนั้นไม่สอดคล้องกับสังคมโดยสิ้นเชิงหรือไม่? เรามองว่าการใช้แนวคิดของการทำให้เป็นตะวันตก (Westernization) โดยสมบูรณ์แบบนั้นค่อนข้างน่ากลัว เราก็เลยถ่ายภาพจิตรกรรมฝาผนังของขรัวอินโข่งทั้งหมดในวัดบรมนิวาสเป็นภาพความละเอียดสูง และพยายามสำรวจหาบางสิ่งบางอย่างในนั้น เพราะเรื่องราวหลักในภาพไม่มีตัวละครที่อยู่ในชีวิตจริงที่เป็นชาวสยามในยุคนั้นเลย ทุกตัวละครที่อยู่ในภาพเขียนของขรัวอินโข่งเป็นชาวตะวันตกทั้งหมด เราก็ตั้งข้อสังเกตว่า ด้วยความที่ตัวบทไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงในยุคสมัยนั้นโดยสิ้นเชิง ก็น่าจะต้องมีแรงต่อต้านจากศิลปินบ้าง จนเราไปเจอมุมเล็ก ๆ มุมหนึ่งในภาพเขียน ที่ขรัวอินโข่งใส่ภาพคนท้องถิ่นชาวสยามเข้าไป 3 คน และยังเป็นการเขียนแบบประเพณีนิยม (ซึ่งผิดกับแนวทางหลักที่เขียนแบบตะวันตก) สิ่งนี้ทำให้เราตั้งข้อสังเกตว่า ศิลปินมีข้อความเล็ก ๆ ที่เขาคิดว่าเนื้อหาในภาพไม่ควรถูกทำให้เป็นตะวันตกไปทั้งหมด เพราะไม่อย่างนั้น เขาก็ไม่น่าจะใส่ตัวละครเหล่านี้ และแอบซ่อนให้อยู่ในมุมมืด ๆ แบบนี้”

   การได้รับรู้ข้อเท็จจริงจากอริญชย์ว่าขรัวอินโข่งแอบใส่ภาพคนท้องถิ่นชาวสยามเข้าไปในภาพเขียนของเขา ทำให้เราอดนึกไปถึงเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ศิลปะตะวันตกที่ “คาซิมีร์ มาเลวิช” แอบใส่สี่เหลี่ยมสีดำเล็ก ๆ ลงไปในภาพเขียนของเขา หลังจากที่ถูกพรรคคอมมิวนิสต์ของสตาลินบังคับให้ทำแต่งานจิตรกรรมเหมือนจริงแนวสังคมนิยมไม่ได้ ซึ่งอริญชย์กล่าวถึงความเชื่อมโยงนี้ว่า

   “การกระทำแบบนี้ก็เป็นการปฏิเสธอีกรูปแบบหนึ่ง เพราะงานแบบ Suprematism ของมาเลวิชนั้นเป็นการปฏิเสธความหมายของรูปเคารพ (Iconography) ของบุคคลทางศาสนา เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นที่มาของความขัดแย้ง หรือความงมงายต่าง ๆ ที่ทำให้สังคมในยุคนั้นเละเทะ ศิลปินและนักคิดในยุคนั้นอย่างมาเลวิชจึงปฏิเสธสิ่งเหล่านี้ เขายังเผยให้เห็นว่า รูปเคารพเหล่านี้เกิดจากถ้อยคำที่ทำให้เกิดความหมาย อำนาจของโครงสร้างทางสังคมที่เกิดขึ้นด้วยภาษา ในขณะที่ชนเผ่าโบราณ หรือมนุษย์ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ใช้ ความรู้สึก (Sensation) และ การรับรู้ (Perception) ก่อนถ้อยคำ อย่างถ้าเราได้ยินเสียงน้ำตก เราก็จะตามเสียงนั้นไปเพราะเรารู้ว่ามันจะนำไปสู่แหล่งน้ำ มนุษย์เรามีการสังเกตและใช้การรับรู้ก่อนที่จะมีภาษา ภาษาแยกเราออกจากการรับรู้แบบนั้น เพราะฉะนั้นเราก็ต้องกลับไปพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ว่าในขณะที่เราเป็นนักโทษที่ถูกกักขังโดยภาษา การใช้การรับรู้ หรือการใช้ภาษาออกจากความหมายนั้นเป็นสิ่งสำคัญ เพราะการรับรู้นั้นไม่ได้มีแค่การได้ยิน แต่รวมถึง อวัจนภาษา หรือภาษาทางร่างกาย ที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารกัน สิ่งเหล่านี้สำคัญ เพราะทำให้เกิดชุมชนมนุษย์ ถ้ามนุษย์ไม่มีการติดต่อสื่อสาร ไม่มีการใช้ภาษานี่ เราก็จะกลายเป็นหน่วยเดียวที่อยู่ใน Clone Cell (สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว) ไม่เกิดสังคม และถ้าเมืองทั้งเมืองไม่มีมนุษย์ติดต่อสื่อสารกัน ก็จะกลายเป็นเมืองซอมบี้ที่ไร้ความหมาย”

   “เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญก็คือเนื้อหา หรือเรื่องเล่าที่เราสร้างขึ้น ที่จะไปส่งผลกับความเป็นจริงที่จะเกิดขึ้นตามมา และความเป็นจริงนั้นก็จะทำให้เกิดเรื่องแต่งอื่น ๆ ที่วนเวียนไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เพียงแต่ว่า อะไรเป็นจุดที่ร้ายแรงที่สุดในกระบวนการทำให้เราพัฒนาและมีความรู้ขึ้น คือการทำลายพื้นที่บนโลกที่เราอาศัยอยู่ภายในเวลา 500 ปี หรือการที่ตัวบทใหม่นั้นไม่ได้ให้อิสระ แต่ยิ่งควบคุม และปิดโลกของเรา ทำให้เราเชื่อว่าโลกใบนี้เป็นของมนุษย์เพียงเผ่าพันธุ์เดียว และทำให้เราพร้อมที่จะตักตวงผลประโยชน์จากสัตว์, พืช, ธรรมชาติ และสิ่งต่าง ๆ รอบ ๆ ตัว ดังนั้น ในฐานะศิลปิน เรามองว่าตัวเองเหมือนเป็นหมอผี เป็นพราหมณ์ หรือศิลปินในอดีต ที่จะบอกเล่าเรื่องราวของเรื่องแต่ง หรือเรื่องจริงที่กลายเป็นเรื่องแต่ง และมีความรับผิดชอบต่อการสื่อสารให้ผู้คนเข้าใจว่าเรื่องแต่งที่ว่าสิ่งเหล่านี้เกิดจากความเป็นจริงมาก่อน และความเป็นจริงที่เรากำลังจะพูดถึงและถูกผลิตออกมาจะกลายเป็นสิ่งใดในอนาคต? เรายังจะไม่พูดถึงการให้ความชอบธรรมกับประวัติศาสตร์ไทย เพราะเราไม่ได้เป็นนักประวัติศาสตร์ เราแค่นำเสนอว่า อะไรคือเครื่องมือที่ผู้มีอำนาจใช้สร้างความชอบธรรมให้กับเรื่องแต่งที่กลายเป็นความเป็นจริงมากกว่า”

   เมื่อก้าวเข้าไปในห้องแสดงงาน สิ่งที่โดดเด่นเตะตาเราอย่างแรกคือผลงานจิตรกรรมนามธรรมขนาดใหญ่ ที่ประกอบด้วยผงธูปและเส้นทองเหลืองเงาวาววาม เป็นผลงานที่เราสามารถสัมผัสได้ทั้งทางสายตาและการสูดดมกลิ่น

   “ผลงานจิตรกรรมขนาดใหญ่ชิ้นนี้ มีขนาดเท่ากับภาพเขียนดอกบัวของขรัวอินโข่งในวัดบรมนิวาส แต่เราลบตัวละครและรายละเอียดในภาพทั้งหมดออก และแทนที่ด้วย Earth Material หรือตัววัตถุทางธรรมชาติที่มาจากผืนโลก ซึ่งก็คือเครื่องหอมอย่างผงธูป เพื่อที่จะกลับไปพิจารณาความเข้าใจในเรื่องของการสร้างเรื่องแต่งขึ้นมาในช่วงเวลาที่เรายังมีความสัมพันธ์กับ Earth Material เหล่านี้ แนวคิดอีกส่วนคือเส้น Linear Perspective (เส้นทัศนียมิติ) ในภาพเขียนเดิมที่เราทิ้งไว้ ซึ่งเป็นจุดสำคัญมากในการทำความเข้าใจของเรา เส้น Linear Perspective นั้นถูกหยิบมาพูดถึงในช่วงศตวรรษที่ 15 ซึ่งก่อนหน้านั้น ภาพเขียนในเชิงศาสนา ไม่ว่าจะคริสต์หรือพุทธ จะไม่เน้นมุมมองเหมือนกับที่ตามนุษย์เห็น แต่จะเน้นความสำคัญตัวบุคคล อย่างเช่น ภาพของพระเจ้ามีขนาดใหญ่ คนธรรมดาสามัญก็จะมีขนาดเล็ก ภาพเขียนจะเป็นเรื่องของการบรรยายถึงสิ่งที่มองไม่เห็น แต่ในช่วงศตวรรษที่ 15 หรือยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ (Renaissance) มนุษย์เริ่มให้ความสำคัญกับความเป็นมนุษย์ของตัวเองมากขึ้น เพราะฉะนั้น การเสนอมุมมองของมนุษย์ก็จะเริ่มมีความสำคัญ ซึ่ง Linear Perspective จะเป็นส่วนที่สำคัญมาก เพราะเป็นที่มาของการปฏิเสธภาพในเชิงศาสนา หรือพูดง่ายก็คือ การปฏิเสธความเชื่อที่มีต่อพระเจ้าในเชิงของภาษา และให้ความสำคัญกับความเป็นมนุษย์มากที่สุด สิ่งนี้นำมาซึ่งแนวคิดของการเขียนภาพบุคคลหรือสิ่งต่างๆ ที่มีความสมจริง เพราะฉะนั้น เราจึงทำภาพเขียนที่จำลองจากภาพดอกบัวของขรัวอินโข่งภาพนี้ด้วย Earth Material และลบตัวละครทั้งหมดออกไปจนเหลือแต่ Linear Perspective เพื่อที่เราจะพิจารณาภาพเขียนนี้ใหม่อีกครั้ง” 

   “โดยส่วนตัว เรามองว่าตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 จนมาถึงปัจจุบัน มนุษย์ให้ความสำคัญกับตัวเองมากเกินไป ในขณะที่ก่อนหน้านั้น เราถูกกดเอาไว้ด้วยความเชื่อเรื่องพระเจ้าและพลังเหนือธรรมชาติ และแรงกดเหล่านั้นทำให้เราต้องการที่จะเป็นอิสระจากความเชื่อ แต่การมาถึงซึ่งความเป็นอิสระของมนุษย์ ทำให้มนุษย์ขยายอัตตาของตัวเองมากจนล้นเกิน จนในระยะเวลา 500 กว่าปีที่ผ่านมา นั้นเป็นช่วงเวลาที่มนุษย์เราทำร้ายโลกใบนี้มากที่สุด เป็นช่วงเวลาที่เราเข่นฆ่ากันมากที่สุด เป็นช่วงเวลาที่มีประชากรมนุษย์เพิ่มขึ้นมากที่สุด แนวคิดของนิทรรศการครั้งนี้ของเราคือการกลับไปพิจารณาตั้งแต่จุดเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง”

   กลางห้องแสดงงานยังมีผลงานประติมากรรมจัดวางที่ดูคล้ายแถบยาวหลายเส้น ห้อยลงมาจากเพดานของห้องแสดงงานอย่างแปลกตา

   “ผลงานประติมากรรมชิ้นนี้ทำจากยางที่มีความหนาและความยาวเท่ากับปริมาตรความยาวของภาพจิตรกรรมฝาผนังของขรัวอินโข่ง เราเอาแถบยางเหล่านี้มาบิดให้เป็นแถบโมเบียส (Mobias Strip) และตัดเป็น 4 ชิ้น ซึ่งทั้งหมดจะมีความยาวเท่ากับปริมาตรความยาวด้านในโดยรอบของโบสถ์ สำหรับเรา ยางเป็นวัตถุที่สามารถยืด หด ขยาย ฉีกได้ โดยที่ไม่ต้องตัด อันเป็นสัญลักษณ์ของความไม่มีที่สิ้นสุด”

  ผลงานอีกชิ้นคืองานจิตรกรรมสีขาวนวล กึ่งกลางภาพมีหมุดทองเหลืองปักร้อยเส้นด้ายเป็นรูปทรงวงแหวนเส้นสายพร่าพรายละลานตา

   “งานจิตรกรรมชิ้นนี้ทำจากขี้ผึ้งเทียนไข วงกลมตรงกลางเป็นรูปทรงแปดเหลี่ยม (Octagon) ซึ่งเป็นรูปทรงที่ถูกใช้ในศาสนา ไม่ว่าจะเป็นรูปทรงของยันต์แปดเปลี่ยนในสัญลักษณ์ฮวงจุ้ย รูปทรงแปดเหลี่ยมยังเป็นสัญลักษณ์ของการเกิดใหม่, การเริ่มต้นใหม่ และการหวนกลับมาอีกครั้ง เช่นเดียวกับรูปทรงของแถบโมเบียส หรือรูปทรงของอะตอม ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ง่าย ๆ ที่ปรากฏอยู่อย่างน่าสนใจและควรจะเก็บไว้ เพราะมันทำให้เราเข้าใจว่า โลกไม่ได้ขยายตัวออกไปได้เรื่อย ๆ เราคิดว่าแนวคิดของการรีไซเคิล ไม่ใช่เรื่องของการนำกลับมาใช้อีกครั้ง แต่เป็นการกลับไปพิจารณาใหม่อีกครั้ง ณ จุดที่เราเริ่มทำลายโลก การที่เราคงสัญลักษณ์เหล่านี้ไว้ ทำให้เรามีสำนึกอย่างหนึ่งขึ้นมาว่า เราไม่สามารถที่จะขุด ๆ ๆ ทรัพยากรไปใช้เรื่อย ๆ หรือเราไม่สามารถที่จะสร้างตัวบทใหม่ขึ้นมาได้เรื่อย ๆ เพราะเราไม่ได้เป็นอมตะ เพราะฉะนั้นจึงไม่มีตัวบทไหนที่ทำให้เราอยู่กับเรื่องแต่งนั้นไปได้ตลอดชั่วกัลปาวสาน แม้กระทั่งตัวบทของนิยายวิทยาศาสตร์ ที่มักกล่าวว่า ถ้าโลกถูกทำลายสิ้น มนุษย์เราก็จะอพยพตัวเองไปสร้างชุมชนบนดาวอังคาร ถ้าเราเป็นศิลปิน เราจะไม่เขียนตัวบทแบบนี้ขึ้นมา เพราะถือว่าไม่รับผิดชอบต่อจิตสำนึกของมนุษย์ ที่ต้องอาศัยอยู่ภายใต้ความเป็นจริงในโลกใบนี้ แต่ถ้าเราเป็นลัทธิทุนนิยม เราก็อาจจะสร้างตัวบทแบบนี้ขึ้นมา เพื่อที่จะขยายแรงปรารถนาของมนุษย์อย่างไม่มีที่สิ้นสุด และใช้ทรัพยากรให้หมดสิ้นไป”

   สิ่งที่โดดเด่นเตะตาอีกอย่างในนิทรรศการครั้งนี้ คือผลงานวิดีโอจัดวางในห้องมืด ที่นำเสนอวิดีโอแอนิเมชันสามมิติ ที่หยิบเอาภาพวาดจิตรกรรมฝาผนังของขรัวอินโข่งในวัดบรมนิวาส มาบิดผันให้แปรสภาพเป็นรูปทรงหลากหลาย แลดูบิดเบี้ยวแปลกประหลาด พิสดารพันลึก

   “ผลงานวีดีโอจัดวางชิ้นนี้นำเสนอเรื่องเกี่ยวกับการที่ “ภาพ” ที่เป็นเรื่องแต่ง ที่ถูกเปลี่ยนรูปจากความเป็นจริงในยุคสมัยรัชกาลที่ 4 ถูกทำให้กลายเป็นวัตถุดิจิทัล (Digital Object) ที่แปรเปลี่ยนไปตามความเป็นไปได้ ภาพในวิดีโอนี้เริ่มต้นด้วยการใช้รูปทรงของแถบโมเบียส ซึ่งเป็นรูปทรงที่แสดงถึงการย้อนกลับไปสู่จุดเริ่มต้นอีกครั้งหนึ่ง เพื่อที่เราจะพิจารณาภาพนี้ใหม่อีกครั้ง ซึ่งอย่างที่เราบอกไปว่า ความกลัวหรือความเพิกเฉยของมนุษย์นั้นยังคงอยู่ เพียงแต่ว่าไปปรากฎในพื้นที่ต่างกัน จะไปปรากฎอยู่บนฝาผนังถ้ำ, บนก้อนหิน, บนต้นไม้ บนวัตถุต่าง ๆ หรือถูกเขียนขึ้นมาเป็นภาพที่เรามองเห็นได้ เป็นภาพของพระเจ้า และถูกปฏิเสธ แล้วถูกเอาเข้าไปอยู่ในสื่อต่าง ๆ ที่มนุษย์ใช้จนกระทั่งถูกเอาเข้าไปอยู่บนแผ่นฟิล์ม และตอนนี้ก็ถูกเอาเข้าไปอยู่ในโลกดิจิทัล เพราะฉะนั้น ในกระบวนการทำให้เรื่องเล่ากลายเป็นความจริง สิ่งหนึ่งที่ต้องทำคือการลบความเป็นจริงเก่าทิ้งไปเรื่อย ๆ ในขณะที่เราเชื่อว่า ความเป็นจริงที่เราอาศัยอยู่ในโลก คือเป็นความเป็นจริงอันเที่ยงแท้ กระบวนการของการลบความจริงเหล่านี้ก็กำลังทำให้เรากลายเป็นสิ่งอื่นอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นผลงานวิดีโอจัดวางชิ้นนี้คือสภาวะของการกลายเป็นดิจิทัล”

   “ผลงานชุดนี้ของเรามีประเด็นอยู่ตรงที่การใช้ภาษาสร้างความเป็นจริง และใช้ความเป็นจริงสร้างตัวบทใหม่ขึ้นมา ซึ่งตัวบทเหล่านี้อยู่ในรูปของสื่อที่แตกต่างกัน ทั้งสื่อภาพเขียน ไปจนถึงสื่อดิจิทัล เราที่อยู่ในฐานะที่เป็นผู้สังเกตการณ์ ก็กลายมาเป็นผู้เล่น ทุกคนก็เอาตัวเองเข้าไปอยู่ในแพลตฟอร์มดิจิทัล ในขณะที่ภาพเขียน และตัวละครต่าง ๆ ที่ปรากฎอยู่ในภาพเขียนที่ถูกสร้างขึ้นโดยผู้มีอำนาจ อย่างภาพเขียนของขรัวอินโข่ง นั้นเป็นแค่ภาพสะท้อนของความเป็นจริงที่กำลังจะเกิดขึ้น เพื่อทำให้เรากลายไปเป็นภาพสะท้อนนั้น ในปัจจุบันก็ไม่ต่างอะไรกับการที่พวกเราเข้าไปอยู่ในภาพเขียนนั้น แต่เป็นภาพที่ใหญ่มากที่ปรากฎอยู่บนเครือข่ายดิจิทัล ทีนี้ตัวบทที่ถูกเขียนขึ้นใหม่ ก็ไม่ได้ถูกเขียนขึ้นโดยผู้มีอำนาจในแต่ละพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งอีกต่อไป แต่ว่าเป็นผู้มีอำนาจที่ถือครองเครื่องมือและเทคโนโลยี และเปิดให้ผู้คนได้ใช้พื้นที่ว่างเหล่านั้น อย่าง Facebook, Twitter หรือโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ที่กลายเป็นความจริง และไม่ได้ถูกควบคุมหรือถูกชี้นำโดยรัฐบาล, กษัตริย์ หรือตัวบทที่เกิดขึ้นในชุมชนนั้น ๆ แต่กลายเป็นบทที่ถูกเขียนขึ้นด้วยเครือข่ายระดับโลก (Global Network) เพื่อที่จะควบคุมและสร้างให้เรากลายไปเป็นตามสิ่งที่มันเขียนขึ้นมา”

   “ในงานวิดีโอจัดวางชิ้นนี้ยังมีเสียงประกอบที่เราทำงานกับ Sound Artist ณัฐพล สวัสดี โดยเราให้เขาไปบันทึกเสียงของน้ำที่ไหลใต้โบสถ์ของวัดบรมนิวาส เสียงของสภาพแวดล้อมในโบสถ์ และเสียงสวดของพระในโบสถ์ มาทำเป็นเสียงประกอบผลงาน เสียงนี้ทำงานกับตัวแอนิเมชัน โดยใช้อัลกอริทึมที่สร้างรูปทรงต่าง ๆ ที่เปลี่ยนแปลงไปโดยเชื่อมโยงกับเสียงประกอบที่ว่านี้ ทั้งรูปทรงเรขาคณิต รูปทรงชีวภาพที่ไม่มีความหมายใด ๆ แต่อ้างอิงอยู่บนพื้นฐานความคิดของงานในนิทรรศการนี้” 

   อีกมุมหนึ่งของห้องแสดงงาน ยังมีผลงานศิลปะจัดวางที่ประกอบขึ้นจากโทรทัศน์และจอมอนิเตอร์หลากหลายจอที่ฉายภาพเคลื่อนไหวรูปแบบต่าง ๆ ประกอบกับเสียงอ่านถ้อยคำที่เป็นเสมือนความเรียงสื่อสารความคิดของนิทรรศการครั้งนี้ราวกับเป็นร้อยแก้วบทกวี บนผนังเบื้องหลังผลงาน ยังมีศิลปะจัดวางที่ประกอบด้วยเส้นด้ายสีแดงคล้ายสายสิญจน์ โยงใยกันเป็นเครือข่ายละลานตาน่าพิศวง

   “ผลงานศิลปะจัดวางชุดนี้ เรานำเสนอการกลายเป็นสิ่งที่ถูกฉายผ่านดาวเทียม อย่างในช่วงหนึ่งจะมีคำที่เรียกว่า Telecracy หรือการเมืองและแนวคิดชุมชนที่เผยแพร่ผ่านทางสื่อโทรทัศน์ ในยุคนั้น มนุษย์เป็นแค่ผู้สังเกตการณ์ (Observer) เช่นเดียวกับการที่เราใช้ตาของเราจ้องไปที่ภาพเขียนของขรัวอินโข่ง แล้วจินตนาการถึงการกลายเป็นสิ่งอื่นของเรา ในสังคมที่ถูกสร้างขึ้น โดยที่ขรัวอินโข่งเป็นผู้สร้างความชอบธรรมให้กับแนวคิดของการทำให้เป็นตะวันตกของรัชกาลที่ 4 กระบวนการนี้เปลี่ยนผ่านมาตลอดเวลา จนถึงปัจจุบันเราก็ยังไม่ได้ฉลาดขึ้น และยังติดอยู่ในกับดักของความกลัวอยู่ดี เพราะเราไม่ได้ตระหนักว่า เราถูกทำให้เป็นไปตามตัวบทที่มันถูกเขียนขึ้นโดยผู้มีอำนาจ คำถามก็คือใครเป็นคนให้ความชอบธรรมกับอำนาจที่ทำให้เกิดกับความจริงเหล่านั้น”

   “ส่วนประติมากรรมจัดวางจากเส้นด้ายสีแดง เราได้ไอเดียมาจากระบบพิกัดคาร์ทีเซียน (ระบบที่ใช้กำหนดตำแหน่งของจุดตัดบนระนาบของแกนเอกซ์และแกนวาย) เส้นเหล่านี้ยังแทนเส้นละติจูดและลองจิจูด ซึ่งเป็นระบบพิกัดที่กำหนดตำแหน่งต่าง ๆ บนพื้นโลก ตัวด้ายเป็นสายสิญจน์แดง เราได้แรงบันดาลใจจากสายสิญจน์ครอบโยงศีรษะผู้คนเข้าไว้ด้วยกันในพิธีกรรมทางศาสนาของไทย”

   “งานในนิทรรศการครั้งนี้ เราก้าวข้ามความทรงจำและความเศร้าที่ปรากฏในงานชุดก่อนหน้า ในช่วงเวลาที่ผ่านมา เราปล่อยวางสิ่งเหล่านั้น และทำงานด้วยความรับผิดชอบในฐานะศิลปิน เช่นเดียวกับหมอผี แต่แทนที่เราจะใช้เรื่องเล่าสร้างความหวาดกลัวให้ผู้คนเพื่อคงไว้ซึ่งอำนาจ เรากลับใช้งานศิลปะของเราขยายการรับรู้ของผู้คน และเปิดเผยให้พวกเขามองเห็นระบบ เห็นเครือข่ายอำนาจ และทำให้พวกเขามองเห็นกระบวนการที่พวกเขาถูกทำให้ไร้ตัวตนได้อย่างไร”

   นิทรรศการ We will leave and never return… จัดแสดงตั้งแต่วันที่ 8 ต.ค. - 25 ธ.ค. 2565 ณ แกลเลอรี่เว่อร์ (Gallery VER) สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Facebook @galleryver หรือโทรศัพท์ 02 -120-6098

    TAG
  • We will leave and never return
  • อริญชย์ รุ่งแจ้ง
  • Venice Biennale
  • Documenta
  • art
  • exhibition

We will leave and never return… การสำรวจประวัติศาสตร์การรับรู้ของมนุษย์ ผ่านผลงานศิลปะอันงดงามและเปี่ยมความคิดของ “อริญชย์ รุ่งแจ้ง”

ART AND EXHIBITION/EXHIBITION
2 years ago
CONTRIBUTORS
Panu Boonpipattanapong
RECOMMEND
  • DESIGN/EXHIBITION

    The Grandmaster : After Tang Chang บทสนทนากับ จ่าง แซ่ตั้ง ศิลปินระดับปรมาจารย์แห่งศิลปะสมัยใหม่ไทย โดย วิชิต นงนวล

    เหตุการณ์นี้เป็นอุทาหรณ์ให้เรารู้ว่า การก๊อปปี้ก็ไม่ได้เลวร้ายเสมอไป เพราะอย่างน้อยที่สุด ก็ทําให้ เราได้รู้ว่าผลงานต้นฉบับของจริงในช่วงเวลาที่เสร็จสมบูรณ์นั้นมีความดีงามขนาดไหน ไม่ต่างอะไรกับศิลปินร่วมสมัยสัญชาติไทยอย่าง วิชิต นงนวล ที่หลงใหลศรัทธาในผลงานของศิลปิน ระดับปรมาจารย์ในยุคสมัยใหม่ของไทยอย่าง จ่าง แซ่ตั้ง ตั้งแต่ครั้งยังเยาว์ ในวัยของนักเรียน นักศึกษา เรื่อยมาจนเติบโตเป็นศิลปินอาชีพ ความหลงใหลศรัทธาที่ว่าก็ยังไม่จางหาย หากแต่เพิ่มพูน ขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็สุกงอมออกดอกผลเป็นผลงานศิลปะในนิทรรศการ The Grandmaster : After Tang Chang ที่เป็นเสมือนหนึ่งการสร้างบทสนทนากับศิลปินระดับปรมาจารย์ผู้นี้

    Panu Boonpipattanapong8 days ago
  • DESIGN/EXHIBITION

    Monte Cy-Press ศิลปะจากกองดินที่สะท้อนน้ําหนักของภัยพิบัติ โดย อุบัติสัตย์

    “ยูบาซาโตะ เดินผ่านตามแนวต้นสนขึ้นไปบนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ เพื่อไปก่อสร้างสถูปดิน และมักจะโดน ทีมงานช่างบ่นทุกวันเกี่ยวกับการก่อสร้าง ที่มีเวลาอยู่อย่างจํากัด เขาเพียงได้แต่ตอบไปว่า .. บุญกุศล นําพาและเวลามีเท่านี้ ขอให้ทําสิ่งดีๆ ให้เต็มที่ ต่อสถานที่บนภูเขานี้เถอะ อย่าบ่นไปเลย เราอาจจะ พบกันแค่ประเดี๋ยวเดียว แต่สิ่งเหล่านี้จะอยู่ต่อไปอีกหลายร้อยปี ... ทีมงานทุกคนเพียงส่งรอยยิ้มที่ เหนื่อยล้ากลับมา ก็เพราะต้องทนร้อนทนแดด และเปียกฝนสลับกันไป จากสภาวะโลกเดือด ที่ทุกคน ต่างพูดถึง แต่ก็จะมาจากใคร ก็จากเราเองกันทั้งนั้น ... แม้จะมาทํางานบนภูเขาก็จริง แต่เขาก็ยังคง คิดถึงเหตุการณ์ภัยน้ําท่วมดินโคลนถล่มที่ผ่านมา อีกทั้งความเสียหายต่อข้าวของที่ต้องย้ายออกจาก บ้านเช่าและค่าใช้จ่ายหลังน้ําท่วมที่ค่อนข้างเยอะพอควร และยิ่งในสภาวะซบเซาทางเศรษฐกิจแบบนี้...

    Panu Boonpipattanaponga month ago
  • DESIGN/EXHIBITION

    Kader Attia กับศิลปะแห่งการเยียวยาซ่อมแซมที่ทิ้งร่องรอยบาดแผลแห่งการมีชีวิต ในนิทรรศการ Urgency of Existence

    หากเราเปรียบสงคราม และอาชญากรรมที่กระทำต่อมนุษย์ อย่างการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ การสังหารหมู่ และการล่าอาณานิคม เป็นเหมือนการสร้างบาดแผลและความแตกร้าวต่อมวลมนุษยชาติ ศิลปะก็เป็นหนทางหนึ่งในการเยียวยาซ่อมแซมบาดแผลและความแตกร้าวเหล่านั้น แต่การเยียวยาซ่อมแซมก็ไม่จำเป็นต้องลบเลือนบาดแผลและความแตกร้าวให้สูญหายไปเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น หากแต่การเหลือร่องรอยแผลเป็นและรอยแตกร้าวที่ถูกประสาน ก็เป็นเสมือนเครื่องรำลึกย้ำเตือนว่า สิ่งเหล่านี้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว และไม่ควรปล่อยให้เกิดขึ้นอีกซ้ำเป็นครั้งที่สอง เช่นเดียวกับสิ่งที่ปรากฏในนิทรรศการ “Urgency of Existence” นิทรรศการแสดงเดี่ยวครั้งแรกในเอเชียของ คาแดร์ อัทเทีย (Kader Attia) ศิลปินชาวฝรั่งเศส - แอลจีเรีย ผู้มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ เขาเป็นหัวหอกในการทำงานศิลปะผ่านสื่ออันแตกต่างหลากหลาย ที่นำเสนอแนวคิดหลังอาณานิคม และการปลดแอกอาณานิคม จากมุมมองของตัวเขาเอง ที่มีประสบการณ์ทางตรงและทางอ้อมของผู้ที่เคยถูกกดขี่และถูกกระทำจากลัทธิล่าอาณานิคมในศตวรรษที่ผ่านมา

    Panu Boonpipattanapong2 months ago
  • DESIGN/EXHIBITION

    Roma Talismano ชำแหละมายาคติแห่งชาติมหาอำนาจด้วยผลงานศิลปะสุดแซบตลาดแตก ของ Guerreiro do Divino Amor

    ในช่วงปลายปี 2024 นี้ มีข่าวดีสำหรับแฟนๆ ศิลปะชาวไทย ที่จะได้มีโอกาสชมผลงานศิลปะร่วมสมัยของเหล่าบรรดาศิลปินทั้งในประเทศและระดับสากล ยกขบวนมาจัดแสดงผลงานกันในเทศกาลศิลปะร่วมสมัยนานาชาติ บางกอก อาร์ต เบียนนาเล่ 2024 ที่จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 4 แล้ว โดยในเทศกาลศิลปะครั้งนี้นำเสนอผลงานศิลปะจาก 76 ศิลปิน 39 ประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ภายใต้ธีมหลัก “รักษา กายา (Nurture Gaia)” ที่ได้แรงบันดาลใจจากเทพี ไกอา (Gaia) ในตำนานเทพปรณัมกรีก หรือพระแม่ธรณีผู้ให้กำเนิดและหล่อเลี้ยงสรรพชีวิต เพื่อแสดงถึงความสัมพันธ์อันสอดประสานกลมกลืนกันระหว่างมนุษย์และธรรมชาติ

    EVERYTHING TEAM3 months ago
  • DESIGN/EXHIBITION

    Apichatpong Weerasethakul : Lights and Shadows นิทรรศการครั้งยิ่งใหญ่ใน Centre Pompidou ของศิลปินผู้สร้างแสงสว่างในความมืด อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล

    เมื่อพูดถึงชื่อ อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล หรือ เจ้ย มิตรรักแฟนหนังหลายคนน่าจะรู้จักเขาในฐานะผู้กำกับภาพยนตร์ชาวไทยผู้เปี่ยมไปด้วยความเป็นศิลปะที่สุด ไม่เพียงแค่ในประเทศไทย แต่หมายรวมถึงในสากลโลก ยืนยันด้วยรางวัลสำคัญจากเทศกาลภาพยนตร์ระดับโลกหลายต่อหลายรางวัล ไม่ว่าจะเป็นรางวัลยอดเยี่ยมในการฉายสายรอง (Un Certain Regard) จากภาพยนตร์เรื่อง สุดเสน่หา (Blissfully Yours) (2002) และรางวัลขวัญใจคณะกรรมการ (Jury Prize) จากภาพยนตร์เรื่อง สัตว์ประหลาด! (Tropical Malady) (2004) จากเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองคานส์ ในปี 2002 และ 2004, หรือภาพยนตร์เรื่อง แสงศตวรรษ (Syndromes and a Century) (2006) ของเขาก็ได้รับเลือกให้เข้าชิงรางวัลสิงโตทองคำในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองเวนิส ในปี 2006 และคว้ารางวัลกรังปรีซ์จากเทศกาลภาพยนตร์ Deauville Asian Film Festival ในปี 2007, และภาพยนตร์เรื่อง รักที่ขอนแก่น (Cemetery of Splendor) (2015) ของเขาก็คว้ารางวัลยอดเยี่ยมจากเวที Asia Pacific Screen Awards ในปี 2015, ที่สำคัญที่สุด อภิชาติพงศ์ยังเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ชาวไทยคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ได้รับรางวัล ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมปาล์มทองคำ (Palm d’or) จากเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองคานส์ ครั้งที่ 63 ในปี 2010 จากภาพยนตร์เรื่อง ลุงบุญมีระลึกชาติ (Uncle Boonmee Who Can Recall His Past Lives) (2010), และล่าสุด ภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่องล่าสุดของเขาอย่าง Memoria (2021) ยังคว้ารางวัล Jury Prize ในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ครั้งที่ 74 ในปี 2021 มาครองได้อีกครั้ง อีกทั้งยังได้รับเสียงวิจารณ์เชิงบวกอย่างท่วมท้นจากสื่อมวลชนนานาชาติ

    Panu Boonpipattanapong3 months ago
  • DESIGN/EXHIBITION

    Out of Frame การล่องแพในแม่น้ำเพื่อสำรวจหาเส้นทางใหม่ๆ แห่งการทำงานจิตรกรรมของ Lee Joon-hyung

    เมื่อพูดถึงเกาหลีใต้ หลายคนอาจจะนึกถึง เคป็อป หรือซีรีส์เกาหลี แต่ในความเป็นจริง เกาหลีใต้ไม่ได้มีสิ่งที่น่าสนใจเพียงแค่นั้น หากแต่ เคอาร์ต หรือวงการศิลปะเกาหลีก็มีอะไรที่โดดเด่นน่าสนใจเหมือนกัน ดังเช่นที่เรามีโอกาสได้ไปชมนิทรรศการศิลปะที่น่าสนใจของศิลปินเกาหลีใต้ ที่บินข้ามน้ำข้ามทะเลมาจัดแสดงในบ้านเรา

    Panu Boonpipattanapong6 months ago
SIGN UP TO OUR NEWSLETTER
A Monthly update of the new issue from us
THANK YOU FOR YOUR SUBSCRIPTION

We use cookies, localStorage and other technologies (collectively, "cookies") to recognise your browser or device, learn more about your interests, and provide you with essential features and services and for additional purposes. ( see details )