LOOKING ON EVERYTHING ?
EXPLORE ON EVERYTHING
คุยกับเจ้าของเพจหนัง90's Vintage Motion
ท่ามกลางเพจหรือคอนเทนต์ครีเอเตอร์สายภาพยนตร์จำนวนมากมายที่มีให้อ่านในโซเชี่ยลฯ “Vintage Motion” ถือเป็นเพจหนึ่งที่ไม่เหมือนใครและแตกต่างไปจากคนอื่นๆ เพราะนี่คือเพจที่นำเสนอข้อมูลเชิงลึกจากหนังโมเดิร์นคลาสสิค ว่ากันตั้งแต่ยุคหลัง 2000’s ลงไปจนถึงยุค 70’s โดยเน้นน้ำหนักไปที่หนังจากยุค 90’s และ 80’s มากหน่อย ที่สำคัญเป็นเพจที่อ่านสนุก ผู้เขียนเรียบเรียงข้อมูลมาอย่างดี บ่งบอกถึงการทำการบ้านมาอย่างดุเดือด จึงไม่เป็นที่แปลกใจว่า “Vintage Motion” เป็นอีกหนึ่งเพจที่ได้รับความนิยมจากคอหนังสายคลาสสิค ที่สำคัญความโดดเด่นของ “Vintage Motion” ทำให้ ธนันต์ อยู่ในศิล ชายหนุ่มพูดน้อยวัย 31 ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งและเป็นนักเขียนเพียงคนเดียวของเพจ ได้โอกาสรวบรวมเรื่องราวต่างๆ ที่น่าสนใจของหนังจากยุค 90’s มาตีพิมพ์เป็นหนังสือ “Back to the 90’s by Vintage Motion” จำหน่ายแบบลิมิเต็ด อิดิชั่น EVERYTHING ชวนคุณไปทำความรู้จักชายผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องหนังอ่านสนุกใน “Vintage Motion” ซึ่งไม่บ่อยนักที่เขาจะยอมเปิดเผยตัวง่ายๆ เหมือนคราวนี้...
เริ่มสนใจภาพยนตร์ได้อย่างไร
สภาพแวดล้อมมีส่วนทำให้สนใจครับ ผมเริ่มดูหนังก็ตั้งแต่เด็กๆ เข้าโรงหนังเรื่องแรกก็คือดู “Jurassic Park” (1993) ตอนนั้นสักประมาณสามถึงสี่ขวบ จำอะไรไม่ค่อยได้แล้ว แต่ด้วยสภาพแวดล้อมที่บ้านที่เก็บวิดีโอหนังไว้เยอะ ถ้ามีหนังดังๆ ก็จะซื้อมาเก็บ ที่บ้านมีวิดีโออยู่หลายเรื่อง อย่างพวกหนังทั่วๆ ไป “Star War”, “Speed” (1994) อะไรประมาณนี้ครับ แล้วก็มันจะมีหนังเรื่องหนึ่งคือ James Bond ภาค “Goldeneye” (1995) ครับ ที่เป็นครั้งแรกที่ดูหนังแล้วรู้สึกว่ามันว้าว เป็นภาคแรกของ เพียรซ์ บรอสแนน ที่มารับบทเป็น เจมส์ บอนด์ มันจะมีฉากที่ เพียร์ซ เขาใช้นาฬิกาเลเซอร์ยิงเจาะรถไฟ จำได้ว่าวันนั้นไปดูในโรงหนังแล้วรู้สึกว่ามันว้าว ชอบมากครับ ก็เลยเกิดเป็นความชอบขึ้นมาจากตรงนั้น
สนใจงานเขียนบทความภาพยนตร์ได้อย่างไร
ส่วนหนึ่งเพราะงานประจำที่ทำด้วยครับ คือเขียนบทความเกี่ยวกับฟุตบอลลงเว็บไซต์ ซึ่งเราทำงานนี้มาตั้งแต่แรกๆ แล้ว ตั้งแต่เรียนจบใหม่ๆ เลย ผม จบมนุษยศาสตร์ สาขาภาษาอังกฤษ จากมหาวิทยาลัยกรุงเทพครับ แล้วโดยส่วนตัวผมก็ถนัดเขียนมากกว่าพูด ผมพูดไม่ค่อยเก่ง พูดไม่ค่อยรู้เรื่องด้วย พูดกับคนอื่นไม่ค่อยเข้าใจ ถนัดเขียนมากกว่า ก็ค่อยๆ เขียนไปเรื่อยๆ แล้วก็ยิ่งเขียนบ่อยๆ มันก็จะยิ่งคล่อง เหมือนการขี่จักรยานแหละครับ
ทำไมถึงตั้งเพจ Vintage Motion
มาจากที่ผมชอบดูหนังมากๆ แต่เจอปัญหาคือไม่ค่อยมีใครคุยเรื่องหนังด้วยได้ คุยแบบลึกๆ นะครับ มันก็มีนะเพื่อนที่แบบ “หนังเรื่องนี้สนุกนะ” แล้วก็จบ มันไม่มีอะไรมากกว่านั้นน่ะ แต่ผมก็อยากคุยแบบ “เออ นักแสดงคนนั้น นักแสดงคนนี้ ภาพเบื้องหลัง เทคนิคมันมีอะไรอย่างนั้นอย่างนี้นะ” แต่ไม่มีคนจะคุยด้วยได้ แล้วบวกกับที่ผมเป็นคนชอบเข้าเว็บ IMDB.com ชอบไปอ่านเกร็ด ซึ่ง IMDB มันจะมีข้อมูลเยอะมากๆ มีทุกรูปแบบเยอะแยะไปหมด ผมก็เลยชอบเข้าไปอ่านเว็บนี้ พอเรารู้ข้อมูลมา แต่เราไม่รู้จะคุยกับใคร ก็เลยทำเพจออกมา เขียนเองเล่นๆ ครับ เหมือนระบายไปในตัว
เขียนก่อนทำเพจหรือว่าคิดจะทำเพจก็เลยเขียน
เขียนก่อนครับ เพราะตอนนั้นทำงานเกี่ยวกับการเขียนไปก่อนแล้วสักสองสามปี ก็เลยทำเพจออกมาแบบเขียนเองเล่นๆ สนุกๆ เกิดจากความชอบศึกษาข้อมูลของหนัง แล้วก็อยากหาที่ระบายด้วยครับ (หัวเราะ)
แล้วทำไมต้องเป็นหนังยุค 90’s
มันก็ไม่เชิงว่าต้อง 90’s เพราะว่าจริงๆ มันก็กว้างนะครับ อาจจะมีย้อนไป 80’s-70’s บ้าง เพราะตอนที่ผมทำก็ไม่ได้คิดว่าต้องเป็น 90’s อย่างเดียว แต่ตอนทำเพจคิดว่าอยากได้รูปโปรไฟล์สีขาวดำ แล้วคิดชื่อเพจ คิดไปคิดมาก็คำนี้แหละครับ “Vintage Motion” แต่จริงๆ เราก็เขียนหนังยุคก่อนหน้าด้วยเหมือนกัน แต่ว่ามันก็อาจจะมีไม่เยอะ อย่างยุค 70’s อาจจะมีแค่เรื่อง “Godfather”, “Star War”, “Chinatown” อะไรพวกนี้ครับ หรือเก่ากว่านั้นก็เขียนถึงนักแสดงที่ชอบ อย่างเราเขียนเกี่ยวกับ ออเดรย์ เฮปเบิร์น ก็จะเอาเฉพาะหนังที่เขาเล่นหลักๆ ความสนใจเราไม่ได้กว้าง หรือเยอะแยะมากมาย เราแค่อยากค้นคว้าลงไปในหนังเก่า อยากค้นลงไปเรื่อยๆ ย้อนกลับไปมากขึ้นเรื่อยๆ
ตอนนี้คาดหวังอะไรจากเพจไหม
ไม่ได้คาดหวังอะไรครับ แค่เขียนเอาสนุกๆ ก๊อกๆ แก๊กๆ ครับ
แต่มันก็ประสบความสำเร็จนะ
คือต้องบอกว่าตอนแรกที่ทำเพจไม่ใช่แบบนี้เลยครับ ผมเขียนเอาแค่สนุกจริงๆ แบบสามถึงสี่ย่อหน้า ไม่ได้บรรจง เรียบเรียงอะไรเลยอย่างนี้ครับ อย่างที่บอกว่าผมเขียนคนเดียวจริงๆ ไม่ได้หวังว่าจะมีใครมาอ่าน
แล้วจุดที่ทำให้เปลี่ยนเกิดขึ้นตอนไหน
ทำไปสักสองปีหรือสามปีไม่แน่ใจ ตอนนั้นผมก็เขียนของผมเล่นๆ ก็แล้วแต่อารมณ์ด้วย บางทีก็เว้นไปสองอาทิตย์แล้วค่อยเขียนใหม่ ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ คนติดตามมีอยู่แค่สองร้อยถึงสามร้อยคนเองมั้งครับ แล้วมันมีจุดเปลี่ยนที่ว่ามีเพจใหญ่เพจหนึ่งเราเห็นเขาไปแชร์เชิงว่าให้คนมากดไลค์ ชื่อเพจ “โรงภาพยนตร์ที่ 3 ที่นั่ง E12” เขาไปแชร์ให้แล้วโปรโมทให้คนมากดไลค์ โพสท์นั้นโพสท์เดียวทำให้ผู้ติดตามเพิ่มเข้ามาเป็นพัน แล้วอยู่ดีๆ ก็มีคนเข้ามากดไลค์เยอะๆ ก็ตกใจครับ ตกใจแล้วกลัว คือมีคนมาเห็นเราเพราะคนอื่นอวย แต่พอเห็นเราเขียนบ้าบอคอแตกอย่างนี้คงไม่ดีแล้ว เราก็เลยอยากพัฒนาตัวเองให้มันเป็นเรื่องเป็นราวมากกว่านี้ หลังจากนั้นก็เขียนยาวเลย ก็เขียนๆๆ ทุกวันไปเรื่อยๆ นั่นแหละครับ
พอเริ่มเป็นเพจที่มีคนรู้จัก เริ่มมีผู้ติดตามเยอะขึ้น งานชิ้นหนึ่งเขียนนานไหม
นานครับ มีตั้งแต่สองชั่วโมงไปจนถึงข้ามวัน
หาข้อมูลอย่างไรบ้าง
เริ่มจากการอ่านก่อน อ่านจากหลายๆ แหล่ง แล้วแต่หัวข้อด้วย ถ้าหัวข้อเฉพาะเจาะจงหน่อย ก็หาข้อมูลไม่ยากเท่าไหร่ แต่ถ้าหัวข้อกว้างๆ อาจจะพูดถึงแค่วันเกิดใครสักคน ประวัตินักแสดงคนนั้นคนนี้ อันนี้กว้างครับ เพราะต้องหาจับประเด็นอะไรสักอย่าง ในบทความนี้ต้องมีประเด็นอะไรสักอย่าง บางทีก็ต้องอ่านไปเรื่อยๆ เพื่อให้เจออะไรสักอย่าง
แล้วเกร็ดหนังของ Vintage Motion ไปหามาจากไหน
ก็ทั่วไปครับ ในออนไลน์บ้าง บางทีก็มาจากหนังสือที่เราซื้อเก็บไว้บ้าง แต่มันก็จะใช้เวลาพอสมควร เพราะว่ามันต้องหาเยอะ
มีตารางเนื้อหาไหม
มีครับ จะทำไว้ล่วงหน้าหนึ่งเดือน
ดูเป็นงานอดิเรกที่จริงจังมาก
จริงจัง จริงจังกว่างานด้วยมั้ง (หัวเราะ) พยายามทำไว้ล่วงหน้าจะได้รู้ว่าตัวเองจะต้องเขียนอะไร แล้วก็หลีกเลี่ยงการเขียนซ้ำในหัวข้อสำคัญด้วยครับ สมมติว่าสองวันผ่านไป พูดถึงเรื่องเดิมอีกแล้ว คนก็จะไม่ค่อยมาคอมเมนท์เพราะคุยกันไปแล้ว
หลังจากที่เราเขียนยาวขึ้น ฟี้ดแบ็คเป็นอย่างไรบ้าง
ค่อนข้างแปลกใจที่คนส่วนใหญ่ชอบ ซึ่งตอนนั้นผมไม่เข้าใจว่าเขาชอบอะไร มันมีอะไรน่าสนใจ ตอนนั้นผมไม่รู้เลยแล้วส่วนใหญ่ผมว่าผมไม่ค่อยเขียนหนังใหม่ๆ แบบปัจจุบันทันด่วน ผมไม่ใช่เพจรีวิวที่หนังออกใหม่แล้วเขียนเลย ผมเขียนถึงหนังเก่าๆ สิบห้าปีที่แล้ว ยี่สิบปีที่แล้ว ไม่ต้องแข่งกับปัจจุบัน เราก็เขียนแต่กับเรื่องเก่าๆ อะไรอย่างนี้ ซึ่งผมว่ายังไม่มีคนทำ ไม่ค่อยมีคู่แข่งนะครับ คู่แข่งน้อยมาก ส่วนใหญ่จะเป็นพวกเพจรีวิวหนังซะมากกว่า ซึ่งมันก็ไม่ใช่ทางผมที่จะให้มารีวิวหนัง ผมชอบเขียนอะไรแบบนี้มากกว่า พวกเกร็ด เบื้องหลัง
แล้วทำไมถึงทำหนังสือ
คือตั้งแต่ปีที่แล้วทาง Spacebar Zine เขามาชวน ผมก็ทำเพจ ก็ไม่ได้คิดว่าต้องมีหนังสือ ต้องมีผลงาน ก็คือปีที่แล้ว Spacebar Zine เขามาชวนบอกว่าอยากทำหนังสือ อยากทำเล่มด้วยกัน ตั้งแต่เดือนสิงหาคมหรือกันยายนปีที่แล้วนี่แหละ ก็คุยกันไปเรื่อยๆ โยนไอเดียกันไปมาว่าจะทำยังไง ก็ใช้เวลาพอสมควรเหมือนกันครับ
แตกต่างจากเกร็ดหนังที่เราเขียนลงในเพจไหม
มันมีความอิสระมากกว่าตอนทำเพจนิดหน่อย เพราะเราใส่เนื้อหาได้เต็มๆ และมีเรื่องราวกว้างกว่าที่เขียนในรายวันน่ะครับ
มาจากที่เราเขียนในเพจทั้งหมดหรือเปล่า
ก็ทั้งเขียนใหม่ แล้วก็มีเอาอันเก่ามาเติมบ้าง เพื่อเติมเต็มรายละเอียดครบถ้วนมากขึ้น เขียนใหม่สัก 70% ของเดิมไปสัก 30%
ฟี้ดแบ็คของหนังสือเป็นอย่างไรบ้าง
เดือนที่แล้วเปิดขายรอบแรก เป็นพรีออเดอร์ตั้งแต่ต้นเดือนเมษายน แล้วก็มารอบสอง จำหน่ายปกติเมื่อสักอาทิตย์ที่แล้ว สองอาทิตย์ที่แล้ว ก็ถือว่าเกินคาด จริงๆ ตั้งแต่ตอนถามในเพจแล้วว่า “ถ้าทำหนังสือเล่มออกมา มีใครสนใจซื้อไหม?” แล้วไม่ได้ขายตามร้านหนังสือด้วย ดังนั้นผลตอบรับถือว่าเกินคาดเลยครับ
การออกแบบดีด้วย เหมือนคนออกแบบก็สนใจในเรื่องเดียวกันด้วย
ใช่ครับ ต้องบอกว่าดีไซน์มีส่วนสำคัญมาก ไม่ว่าเนื้อหาจะยังไง ดีไซน์ต้องอุ้มไว้ก่อนอยู่แล้ว แต่เนื้อหาก็ตรงปกนะครับ (หัวเราะ) คนซื้อไปก็บอกว่าโอเคอยู่ ส่วนใหญ่ฟี้ดแบ็คคนก็จะชอบกันครับ
คิดว่าตัวเราเป็น Influencer ด้านภาพยนตร์ไหม
ไม่ครับ เพราะผมก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองเก่ง รอบรู้ขนาดนั้น ส่วนใหญ่จะเขียนอะไรแบบนี้ได้ก็ต้องไปอ่านอีกทีก่อนเหมือนกันครับ ให้เราไปนั่งเสวนา พูดฉะฉานเลย เราคงไม่ขนาดนั้นครับ ทุกอย่างมันอยู่ที่การค้นคว้า หาข้อมูล อาศัยดูหนังแล้วก็หาข้อมูลมากกว่าครับ
สำหรับเรา หนังยุค 90’s มีเสน่ห์อย่างไร
ผมว่ามันเป็นช่วงเวลาที่คนยุคนั้นต้องการอะไรใหม่ๆ เหมือนว่าแฟนหนังที่ได้ดูหนังยุค 80’s ไปแล้ว อย่างหนังแอคชันก็จะยิงกันเยอะหน่อยแบบ “Rambo” แต่พอถึงยุค 90’s คนก็ต้องการอะไรใหม่ๆ สไตล์เดิมอย่างตบจูบมันเริ่มเก่าไปหมดแล้ว มันเป็นช่วงที่คนต้องการอะไรใหม่ๆ มันก็เหมือนกับเพลงที่มีช่วง Alternative อย่างนี้ เป็นทางเลือกใหม่ๆ ที่ทำให้เกิดสิ่งใหม่ๆ เยอะขึ้นมากและเป็นรากฐานที่เชื่อมมาจนถึงยุคปัจจุบัน เป็นจุดกึ่งกลางระหว่างความเก่ากับความใหม่ มันเป็นส่วนเชื่อมต่อระหว่างนั้นครับ มันให้ความรู้สึกว่าไม่ได้เก่าแต่ก็ไม่ได้ใหม่ แต่ในความรู้สึกก็คือหนังเก่าแหละ แต่ก็ไม่ได้เก่านะ จะพูดยังไงให้รู้เรื่องดี (หัวเราะ) แล้วเป็นช่วงที่ไอเดียใหม่ๆ มันผุดขึ้นมาเยอะไงครับ ไอเดียมันยังไม่ซ้ำไง มันยังไม่ซ้ำเหมือนปีหลังๆ ดังนั้นยุค 90’s จึงเป็นยุคที่รู้สึกถึงความสดใหม่ มันไม่ได้ original หรอก แต่ว่ามันสดใหม่จริงๆ แล้วเป็นช่วงที่ special effect กับ CG กำลังเติบโตด้วย
คิดว่าอนาคตของ Vintage Motion จะเป็นอย่างไรต่อไป มีเพจดังขนาดนี้แล้วมีความกดดันบ้างไหม
ไม่นะครับ อย่างเดียวที่กดดันคือผมคิดว่าต้องทำอะไรให้ดีกว่านี้อีกให้ได้ เราทำได้ถึงจุดนี้แล้ว จะทำอะไรต่อไปต้องให้มันดีกว่าที่ทำอยู่ อย่างในหนึ่งปีผมจะเขียนบทความยาวๆ เล่าโปรเจคใหญ่ๆ เบื้องหลังหนังใหญ่ เคยเขียนเกี่ยวกับ “Godfather” ไว้ เมื่อปีที่แล้วก็เป็น “The Lord of The Ring” ครับ ก็เลยคิดว่าต่อไปต้องดีกว่านี้อีก หมายถึงในเชิงของการเขียนนะครับ พูดตรงๆ เลยว่างานหลายๆ ชิ้นพอย้อนกลับไปอ่านแล้วไม่ชอบ (หัวเราะ) ไม่ชอบเลย รู้สึกว่าอยากกลับไปแก้มาก อยากกลับไปแก้มือ อยากทำให้ดีกว่านี้
คิดว่าตัวเองเป็นนักเขียนสายภาพยนตร์ไหม
ก็ยังนะครับ สมมติว่าเทียบกับคนอื่นที่เป็นนักเขียนสายภาพยนตร์จริงๆ ผมก็ยังไปไม่ถึงพวกเขา หมายถึงในแง่ของประสบการณ์และความรู้น่ะครับ รู้สึกว่าเราต้องบ่มเพาะมากกว่า
5 หนังในยุค 90's ที่ Vintage Motion ที่ชอบมากที่สุด
1. “Gattaca” (1997) เป็นเรื่องแรกที่นึกออกเลย ชอบในแง่ที่หนังเป็นแรงบันดาลใจดีมากๆ ครับ เป็นหนังไซไฟที่มาก่อนกาลด้วยมันก็เลยไม่ดัง แต่เดี๋ยวนี้มีแต่คนชอบถาม ใครๆ ก็ชอบถามถึง แล้วในแง่ความไซไฟ ในแง่ของตัวสังคมมันมีโอกาสเกิดขึ้นได้จริงด้วย
2. “Fight Club” (1999) ชอบที่มันพูดถึงกลไกสังคม เล่าถึงว่าชนชั้นรากหญ้าคือกลไกของสังคมที่แท้จริงอะไรอย่างนี้ ฐานข้างบนต้องพึ่งพาคนข้างล่างจริงๆ นะ อย่างที่เห็นในหนังเลย ถ้าคนข้างล่างตั้งใจจะล้มปุ๊บ ฐานข้างบนก็พังได้ทันที แล้วผมว่ามันสามารถแทรกซึมไปได้ทุกที่โดยที่เราไม่รู้ตัว ไม่ว่าจะเป็นในแง่บริโภคนิยม พวกนี้คือข้อเท็จจริง แต่ก่อนมีการคุกคามจากประเทศอื่น สักพักก็ออกไปรบแล้ว แต่ตอนนี้มันไม่ใช่ยุคกลาง ทุกวันนี้เราต้องรบกับตัวเอง รบกับจิตใจของตัวเอง ทั้งเรื่องการงาน เรื่องอื่นๆ อะไรอย่างนี้
3. “Goodfellas” (1990) หนังของ มาร์ติน สกอร์เซซี ชอบที่เป็นหนังมาเฟียที่ไม่ได้ชี้ว่าพวกนี้มันเลว ผมชอบที่หนังถ่ายทอดชีวิตของนักเลงพวกนี้ ติดตามดูไปเรื่อยๆ แล้วช่วงนั้นก็ยังไม่ค่อยมีหนังแบบนี้ออกมา
4. American History X (1998) เป็นหนังที่พูดได้ดีเกี่ยวกับปัญหาไม่ว่าจะเป็นการเหยียด ความรุนแรง การเกลียดชัง อะไรต่างๆ จริงๆ มันเป็นการกระทำที่กลวงมากๆ ลัทธิอะไรก็ตาม ไม่ว่าอะไรก็แล้วแต่ผมรู้สึกว่ามันไม่ได้ทำให้ชีวิตตัวเองดีขึ้น แล้วมันน่าสนใจที่วิธีการเล่าที่เล่าย้อน เล่าถึงการขัดแย้งของตัวเอกกับน้องชายที่สลับขั้วกันตลอดเวลา การกระทำที่ทำให้เกิดวงจรอุบาทว์นั่นแหละครับ
5. The Silence of The Lamb (1991) เป็นหนังที่น่ากลัว ทั้งบรรยากาศ ทั้งการถ่ายทอด ดูแล้วกลัว ดูกี่ทีก็ยังกลัว กลัวสายตาของ แอนโธนี ฮอปกินส์ ล่าสุดที่ House เอากลับมาฉาย ผมไปดูก็ยังกลัวอยู่ดี
คุยกับเจ้าของเพจหนัง 90's Vintage Motion
/
ทันทีที่ Key Visual สถาปนิก’ 68 เผยแพร่ออกมา บทสนทนาปลุกสัญชาตญาณนักสืบในตัวทุกคนพร้อมใจกันทำงานแบบ Autopilot และระหว่างที่ตามหาเฉลยกันจริงจัง ทุกคนเริ่มหันมาตั้งคำถามต่อว่า Art Toys เกี่ยวข้องกับธีมงานอย่างไร รู้ตัวอีกทีวงสนทนาก็กระเพื่อมขยายกว้างขึ้น ส่งสัญญาณชัดว่า Key Visual ปีนี้เปิดฉากมาแบบสนุกเอาเรื่อง โดนเส้นกันสุดๆ
/
วัลลภ รุ่งกำจัด หรือ อุ้ม นักแสดงที่เชื่อมโยงความเป็นมนุษย์กับโลกของภาพยนตร์ ผ่านการสร้างชีวิตให้ตัวละครต่าง ๆ ได้ออกมาโลดแล่นแสดงความรู้สึกทางอารมณ์ให้กับผู้ชม แม้เขาจะไม่ได้เป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงในวงกว้างเทียบเท่ากับนักแสดงกระแสหลัก แต่ในเวทีระดับโลก “อุ้ม” ได้พิสูจน์ตัวเองกับการเป็นนักแสดงที่มีความสามารถที่ยอมทุ่มเทหลาย ๆ สิ่ง ให้กับงานศิลปะด้านการแสดงในภาพยนตร์เรื่องต่าง ๆ เหล่านี้อย่างสุดตัว
/
คงปฏิเสธไม่ได้ว่าก่อนหน้านี้เราได้รู้จักกับเธอคนนี้ในชื่อของ พัด หรือที่ชอบเรียกติดปากกันว่า พัด ZWEED N’ ROLL เจ้าของเสียงทุ้มมีเสน่ห์ นักร้องและนักแต่งเพลงที่ฝากผลงานเพลงเศร้าเอาไว้ในวงการมากมาย อาทิ ช่วงเวลา, Diary, อาจเป็นฉัน และอีกมากมาย ไม่มีอะไรแน่นอนแม้กระทั่งตัวเราเอง ช่วงเวลาจึงได้พัดพาให้เรามาทำความรู้จักกับ “MAMIO” ในฐานะศิลปินใหม่จากค่าย Warner Music Thailand ซึ่งเป็นอีกตัวตนหนึ่งของคุณพัดที่ไม่เคยถูกปลดปล่อยออกมาเลยตลอดชีวิตการทำงานในวงการสิบกว่าปีที่ผ่านมา หรือถ้าจะให้ซื่อสัตย์กับตัวเองจริง ๆ ก็อาจจะเป็นทั้งชีวิตที่เกิดมาเลยเสียด้วยซ้ำ
/
Whispers เป็นหนึ่งในวงดนตรีที่สะท้อนการเติบโตของวงการ Hardcore ในประเทศไทยอย่างแท้จริง ตั้งแต่จุดเริ่มต้นที่เป็นเพียงกลุ่มเพื่อนที่หลงใหลในดนตรี เพราะนอกจากจะเป็นผู้เล่น พวกเขายังเป็นกำลังสำคัญที่คอยผลักดันซีนฮาร์ดคอร์ในบ้านเรามาโดยตลอด ประสบการณ์ที่สั่งสมทำให้เกิดเป็นสไตล์เฉพาะของ Whispers สร้างความแตกต่างและเป็นเอกลักษณ์ จนทำให้พวกเขาก้าวไปสู่เวทีระดับสากล ถึงแม้พวกเขาจะอยู่ใต้ดินของไทย แต่เสียงคำรามของพวกเขาก็ดังไปไกลถึงทวีปยุโรป มาพบกับเส้นทางดนตรีที่เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจและการเปลี่ยนแปลง กับวงฮาร์ดคอร์ระดับบท็อปของ Southeast Asia
/
ด้วยลายเส้นที่เป็นเอกลักษณ์และรูปแบบงานสักของเขา ที่เรารู้สึกแปลกประหลาดกว่างานสักอื่น ๆ (แปลกประหลาดในที่นี้คือความหมายในแง่ดีนะ) ก็เลยตัดสินใจส่งข้อความทักไปหา “พี่นัทครับ ผมขอสัมภาษณ์พี่ได้ไหม” “ได้ครับ” สั้น ๆ แต่จบ เรื่องราวทั้งหมดก็เลยเริ่มต้นขึ้นที่ร้าน CAVETOWN.TATTOO แถว ๆ ปิ่นเกล้า ซึ่งพี่นัทเป็นเจ้าของร้านแห่งนี้ บทสนทนาของเราเริ่มกันในช่วงเวลาบ่าย ๆ ของวันพฤหัส พอไปถึงร้านพี่นัทกำลังติดงานสักให้กับลูกค้าอยู่หนึ่งคน พอได้เห็นลายที่เขาสักต้องบอกว่าเท่มาก ๆ มันมีความเป็น Psychedelic บวกกับ Ornamental ผสมผสานกับเทคนิค Dotwork จนกลายเป็นงานศิลปะบนผิวหนังหลังฝ่ามือ เราถึงกับต้องถามคำถามโง่ ๆ กับลูกค้าที่ถูกสักว่า “เจ็บไหม” แน่นอนคำตอบที่ได้คือ “โคตรเจ็บ” เพราะจุดที่สักคือหลังฝ่ามือ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งจุดที่หลายคนร่ำลือกันว่าโคตรเจ็บ ระหว่างที่รอพี่นัทไปพลาง ๆ น้องแมคช่างภาพที่มีรอยสัก Full Sleeve เต็มแขนขวา ก็เริ่มกดชัตเตอร์กล้องถ่ายรูปเก็บภาพระหว่างที่เขาสักไปด้วย พอสักเสร็จเรียบร้อยก็ปล่อยให้พี่เขาพักผ่อนกินน้ำ ปัสสาวะ (อ่านแยกคำนะอย่าอ่านติดกัน) ก่อนจะพูดคุย แต่เดี๋ยว ! ก่อนจะเริ่มบทสนทนา เราขอเกริ่นให้ฟังซักนิดนึงเกี่ยวกับชายคนนี้ก่อน
/
ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่ปีวงดนตรีสัญชาติไทยที่ชื่อ KIKI ได้ก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในวงที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากจากทั้งในประเทศไทย ญี่ปุ่น ไต้หวัน สิงคโปร์ ฮ่องกง ก็เพราะด้วยเสียงเพลงที่มีความเป็นเอกลักษณ์ และการนำเสนอแนวคิดที่ไม่เหมือนใคร รวมถึงความตั้งใจในการสร้างสรรค์ผลงานที่สะท้อนถึงตัวตนของพวกเขาได้อย่างชัดเจน
We use cookies, localStorage and other technologies (collectively, "cookies") to recognise your browser or device, learn more about your interests, and provide you with essential features and services and for additional purposes. ( see details )