LOOKING ON EVERYTHING ?
EXPLORE ON EVERYTHING
Max Jenmana & VENN

ช่วงเวลาแค่ 5 นาทีก็เพียงพอแล้ว ที่เราจะได้ดำดิ่งเข้าสู่ห้วงความทรงจำและอารมณ์อันซับซ้อนไร้จุดสิ้นสุด ที่เกิดขึ้นจากการร้อยเรียงเรื่องราว ประสบการณ์ทางดนตรี บนเส้นทางชีวิตและมิตรภาพของพวกเขา “VAXMENN” (ที่มาจากการผวนคำว่า MAXVENN) ซึ่งเป็นการรวมตัวเพื่อทำงานดนตรีด้วยกันครั้งแรกของกลุ่มเพื่อนที่พบเจอและร่วมวงเฮฮาปาร์ตี้กันมานานหลายปี อย่าง แม็กซ์ - ณัฐวุฒิ เจนมานะ กับ VENN วงดนตรีสายอัลเทอร์เนทีฟโฟล์กที่ประกอบด้วย ว่าน - ปรีติ์ อัศวรักษ์, แอป - จิรกิตติ์ ท้าวติ, ปน - นริศ สโรบล และ ต๊อบ - ธัชพล ชีวะปริยางบูรณ์

ที่แม้ว่าเสียงประสานที่เคล้าคลอไปกับดนตรีโฟล์กของการคอลแลปพิเศษในครั้งนี้ จะเริ่มต้นความอบอุ่นของท้องฟ้าสีส้มสว่างของ Harmonica Sundown และจบลงมวลสีฟ้าผสมม่วงที่ชวนเหงาและคิดถึงหน่อย ๆ ของ Feel Again ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว #EVERYTHING ก็หวังว่าจะได้ยินเรื่องราวใหม่ ๆ ถูกบรรเลงขึ้นมาโดย VAXMENN อีกครั้ง
แต่ก่อนจะไปไกลถึงเรื่องในอนาคตที่ยังไม่มาถึง เราก็ชวนห้าหนุ่ม VAXMENN มานั่งล้อมวงสนทนาย้อนกลับไปถึงจุดเริ่มต้นของการคอลแลปนี้อีกครั้ง ท่ามกลางบรรยากาศสุดชิลของร้านเบียร์ประดิษฐ์ แหล่งรวมตัวแห่งใหม่ของคนที่ชอบในคราฟต์เบียร์และสุราไทย บนย่านถนนบรรทัดทอง พร้อมเสิร์ฟแทปเบียร์ที่รวมรวบมาจากนักคราฟต์ชาวไทยจาก 4 ภาคของไทย กว่า 24 แทปเบียร์ ที่นอกจากจะกลิ่นหอม และรสอร่อยสมคุณภาพแล้ว แทปเบียร์แก้วแล้วแก้วเล่าที่ถูกยกมาเสิร์ฟอย่างต่อเนื่อง ก็นับเป็นตัวช่วยที่ดี ที่ทำให้บทสนทนาครั้งนี้สนุกมากขึ้นกว่าเดิม
พวกคุณก็รู้จักกันมานานหลายปี แล้วทำไมถึงเพิ่งจะมาคอลแลปงานเพลงด้วยกัน
แม็กซ์: มันน่าจะเริ่มมาจากผมครับ คือช่วงที่ผ่านมาผมทำงาน Solo และก็มีงานคอลแลปกับศิลปินอื่นก็เยอะ แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันยัง More ได้มากกว่านี้ เราสามารถ Deep Connection กันได้มากกว่านี้ แต่บางครั้งก็อาจจะมีอะไรหลาย ๆ อย่างที่ทำให้เราไม่สามารถแชร์ความคิดได้จริง ๆ ผมก็เลยมีความต้องการสิ่งนี้ขึ้นมา แล้วประจบกับความเป็น VENN ที่มีความโฟล์กที่ Vibe เหมือนกับผมในช่วงหนึ่ง ผมเลยอยากขโมย Energy ของพวกเขาบ้าง อยากเข้าไป Experience อะไรบางอย่างกับพวกเขา เลยตัดสินใจทักพี่ว่านไปตอนกลางดึก พอพี่ว่านตอบตกลงก็เลยลุยต่อ ซึ่งมันเป็นการทำงานที่เหมือนไม่ได้ตั้งใจ แต่ดันตั้งใจมาก ๆ แบบมีไอเดียอะไรก็โยนคุยกัน แล้วพอพวกเรารู้สึกว่าทำแบบนี้มันก็ดี ทำแบบนั้นมันก็ดี มันก็ยิ่งทำให้ไฮเปอร์ยิ่งกว่าเดิมอีก มันเลยเป็นการทำงานที่แบบ ‘เอามาเลย’ ไม่ได้มีมีการปิดกั้นไอเดียอะไรเลย

แอป: ผมคิดว่าครั้งนี้เรารู้สึกสบาย ๆ กันด้วย มันเลยทำให้ทุกคนกล้าที่จะทำอะไรได้มากกว่า เหมือนเรากล้าโยนไอเดียอะไรไปก็ได้โดยไม่มีคำว่าผิดหรือถูกครับ

มีภาพในหัวไหมว่าจะทำเพลงออกมาในแนวทางไหน
ต็อบ: พวกเราไม่ได้มีภาพนะครับ ไม่ได้ร่างเอาไว้ก่อนว่ามันจะต้องออกเป็นยังไง อย่างที่แม็กซ์เล่าให้ฟังว่ามันคือการโยนไอเดียลงไปเรื่อย ๆ แต่สิ่งที่มันดีมาก ๆ คือทุกคนให้เกียรติกันและกัน เพราะทุกคนมันเชื่ือใจกัน แล้วพอมันเชื่อกันจริง ๆ เลยทำให้ไอเดียทั้งหมดที่เกิดขึ้นจากหลาย ๆ คน มันรวมกันเป็นภาพปลายทาง ที่ไม่มีใครเคยคิดไว้ก่อนเลย
Harmonica Sundown เริ่มทำงานกับเพลงแรกยังไงบ้าง
ปน: มันเริ่มจากเรานัดกันไปชิลไปทำความรู้จักกันครับ คือพวกเราก็รู้จักกันมานานสักพักหนึ่งแล้ว แต่ครั้งนี้มันคือการไปทำความรู้จักด้านดนตรีกันให้มากขึ้นกว่าเดิม ก็เลยไปนัดรวมตัวกันที่โรงแรมมีราเซียรา เขาใหญ่ แล้วก็ให้เวลากันสามวัน ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นเปล่า และสำหรับ Harmonica Sundown มันเริ่มต้นจากคอร์ดวน ที่เรารู้สึกว่ามันเจ๋งแล้ว ผมกับแม็กซ์และพี่ว่านก็เลยแยกย้ายกันไปแต่งเนื้อเพลงต่อในแบบของตัวเอง โดยที่ไม่ได้คุยกันด้วยซ้ำว่าจะแต่งเกี่ยวกับอะไร เนื้อหาแบบไหน แต่พอเอามารวมกันแล้ว มันดันกลายเป็นเรื่องราวเดียวกัน อาจจะเพราะว่าประสบการณ์หรือช่วงชีวิตของเราทั้งสามคนมันมีความใกล้เคียงกันด้วย เลยทำให้ 3 เรื่องราว มันเชื่อมโยงเข้าหากันได้ และยังมีความ Abstract ที่มากพอ


พวกคุณตั้งใจตีความเนื้อเพลง Harmonica Sundown ออกมาเป็นเรื่องราวแบบไหน
ปน: สำหรับผม ในช่วงท่อน ‘stay in the light and dont leave me tonight’ มันเหมือนกับว่า แสงทำให้เราปลอดภัยมากกว่าการอยู่ในความมืดใช่ไหมครับ ซึ่งความมืดของแต่ละคนก็จะแปลความหมายแตกต่างกันไปในหลากหลายทิศทาง ดังนั้นในท่อนนี้มันก็คงเป็นการที่เราพยายามที่จะไม่ Give up ต่ออะไรบางอย่างที่เข้ามากระทบต่อตัวเอง

แม็กซ์: ผมชอบเวลาถูกถามนะ เพราะเราไม่เคยได้มีเวลามานั่งทำความเข้าใจเพลงของตัวเองเหมือนกัน ซึ่งพอมาย้อนมองแล้ว พี่ว่านเขาจะมีความ Visual มีภาพเป็นเรื่องราวขึ้นมา เช่น ท่อน ‘Hushing down to Eden Bay’ หรือ ‘Making love right next to the wall’ พอเป็นปน เขาจะมีความเป็น Main Theme ที่มัน Catchy มาก ๆ ส่วนผมก็จะเป็นความรู้สึกที่มัน Deep ลึกลงไปอีก แล้วพอเอาสามส่วนนี้มารวมกัน Harmonica Sundown มันเลยมีเรื่องราวประมาณว่า แค่ได้นั่งฟังเพลงด้วยกัน ล้อมวงรอบกองไฟด้วยกัน หรือแค่ได้ใช้เวลาด้วยกันก่อนพระอาทิตย์จะตกลงไปก็โอเคแล้ว
ว่าน: ในตอนที่พวกเราคุยกัน มันมีภาพคร่าว ๆ ว่าเห็นเป็นทะเลหรือพระอาทิตย์ตก มันเลยทำให้ผมนึกถึงภาพของเกาะพงันกับเรื่องราวส่วนตัวที่มันเคยเกิดขึ้นที่นั้น ในตอนนั้นความรู้สึกเป็นอย่างไร ผมก็เอามาเขียนเป็น Verse ในท่อนแรก ส่วน Verse ท่อนสองเป็นส่วนที่เราช่วยกันแต่ง แต่เรื่องราวมันก็ยังเชื่อมโยงกันนะ แบบท่อนแรกเป็นตอนเช้า ท่อนสองเป็นกลางวันไปจนถึงตอนเย็น ๆ แล้วส่งต่อไปยัง Chorus ต่อด้วยท่อน Bridge ของแม็กซ์ ที่พาให้เพลงกลายเป็นอีกเรื่องราวหนึ่งไปเลย เป็นหนังสือเล่มใหม่ ที่ทำให้รู้สึกว่า ‘โห้! นี่มันอะไรกันวะเนี่ย’ และพอมาตีความต่อหลังจากอัดเสียงทั้งหมดแล้วก็ยิ่งกลายเป็นภาพที่แตกต่างกันไปอีก มันเลยเหมือนเป็นงานทดลองที่ (แม็กซ์: เหมือนงานคอลลาจ) ใช่ มันคือการคอลลาจที่ผมได้เรียนรู้เพื่อนแต่ละคนไปเรื่อย ๆ ผ่านไอเดียที่ถูกใส่เข้ามา
แปลว่าพอได้ทำเพลงด้วยกันแล้ว มันยิ่งทำให้รู้จักเพื่อน (ที่เรารู้จักดีอยู่แล้ว) ดีมากขึ้นกว่าเดิม
ว่าน: กับ VENN เราก็รู้จักกันดีอยู่แล้ว แต่กับแม็กซ์ เหมือนเขาเป็นสมาชิกที่เพิ่งเข้ามาใหม่ พอได้มาทำงานด้วยกันจริง ๆ มันเลยทำให้ผมเห็นว่าเขาเป็นคนที่มองอะไรลึกมาก ส่วนตัวผมมองเห็นอะไร ก็คือจะเล่าอย่างนั้นเลย แต่กับแม็ก เขาจะมีการตีความมากขึ้น จริง ๆ เราเข้าใจว่าเขาก็เป็นคนประมาณนี้อยู่แล้ว แต่ครั้งนี้มันทำให้ผมเข้าใจมากขึ้น และได้เห็นเลยว่าวิธีการเขียนที่มีการตีความลึกมาก ๆ มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร

แอป: สำหรับผม มันอาจจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับเนื้อเพลงมาก แต่คิดว่าเป็นในพาร์ท Positioning ของความเป็นศิลปิน อย่างพี่แม็กซ์เองเขาก็จะมีผลงานที่ฮิตติดหูคนได้ แต่ในขณะเดียวกันก็ยังมีผลงานที่ถูกใช้เพื่อถ่ายทอดความรู้สึกส่วนตัวออกมาด้วย มันเลยทำให้ผมได้เห็นอีกมุมมองของเขา ที่ผมคิดว่าสามารถเอามาปรับใช้ต่อได้ด้วย
ต็อบ: ผมได้เห็นว่าแม็กซ์เล่นกีต้าร์เก่งมาก อาจจะเพราะไม่เคยเล่นดนตรีด้วยกันเลย มีแค่เห็นผ่าน Music Video บ้าง หรือผ่านโชว์บ้าง


จากเนื้อเพลงบวกกับตอนที่พูดถึงการแต่งเพลงแรก ทำให้เราพอจะเดาได้ว่าสมาชิกแต่ละคนของ VENN ชอบท่องเที่ยวแบบ Outdoor ใช่หรือเปล่า
VENN: พี่ต็อบชอบไปเกาะมาก ส่วนแอปชอบ Adventure บาร์บีคิวอยู่ในส่วนหลังบ้านตัวเอง ชอบแคมป์ปิงแต่ไม่ชอบขับรถ ปนเขาจะเป็น Hiking สายบู๊ และว่านจะเป็นสาย Road Trip ชอบเอามอไซส์ไปขับ มันเลยมีจุดร่วมกันอยู่ประมาณหนึ่ง

เพราะไลฟ์สไตล์ที่มีจุดร่วมนี้หรือเปล่า ทำให้พอเราค้นหาชื่อของ VENN แล้ว มักจะได้คำนิยามว่าเป็นดนตรีที่ทำให้นึกถึงทิวทัศน์ธรรมชาติ
ว่าน: อาจจะเป็นเหตุผลส่วนหนึ่ง เพราะเนื้อเพลงส่วนใหญ่ผมกับปนจะเป็นคนเขียน แล้วในอัลบั้มแรกพวกเราไปแต่งกันที่เขาใหญ่ทั้งหมดเลย เพราะฉะนั้นพวกเราก็จะถูกความเขียวฉจีของธรรมชาติรอบตัวโอบล้อม แต่กลับกัน อัลบั้มที่สองของ VENN ที่กำลังทำกันอยู่ พวกเราแต่งกันในกรุงเทพฯ เลยได้เห็นเลยว่ามันต่างกันคนละเรื่องกันเลย และความเป็นกรุงเทพฯ ที่เข้ามาอยู่ในเพลง มันก็จะปั่นป่วนและวุ่นวายมาก ๆ

แอป: ผมคิดว่ามันอาจจะเพราะว่าเป็นดนตรีโฟล์กด้วยแหละครับ เลยยังมีความเป็นธรรมชาติ จากทั้งเสียงของกีต้าร์โปร่งหรือเสียงกลองของพี่ต็อบ ที่เราเก็บความเรียลของมันไว้ค่อนข้างเยอะ เลยน่าจะทำให้้เห็นภาพของธรรมชาติได้ง่าย
ล่าสุด VAXMENN ก็เพิ่งปล่อย Feel Again เพลงใหม่ออกมา เพลงนี้จะพาเราไปสัมผัสกับเรื่องราวแบบไหน
แม็กซ์: ผมเขียนโดยใช้ความรู้สึกที่อยากจะรู้สึกอีกครั้ง กับความโหยหายความเป็นเด็ก ทั้งความสนุก ความมันส์ หรือความรู้สึกที่มันเกิดขึ้นระหว่างกลุ่มเพื่อน มันเหมือนเราเริ่มตั้งคำถามกับชีวิตว่า ‘ความสนุกมันหายไปไหนวะ’ เราก็เลยอยากกลับไปรู้สึกถึงมันอีกครั้ง ผมเลยเขียน Verse แรกแล้วส่งให้พวกเขาเขียนกลับมาในท่อน Verse ที่สอง ที่มันลงตัวกันพอดี คือหมายถึง ผมเขียนไป Negative มาก แต่พวกเขาเขียนตอบกลับมาในเชิง Positive สิ่งนี้มันเลยทำให้ผมรู้ ว่านี่แหละคือตัวตนของ VAXMENN ที่มีความบาลานซ์ระหว่างผู้คนที่แตกต่างกัน สำหรับ Feel Again มันเลยมีสองด้านที่ต่างกัน ด้านของพวกเขาจะเป็นความเชื่อที่ว่า ‘เห้ย มันสนุกได้อีก เรารู้สึกกับมันได้อีก ต่อให้พระอาทิตย์มันตกดินไปแล้ว’ แต่ของผมจะเป็นด้านที่คิดว่า ‘จริง ๆ เวลามันก็เหลือน้อยแล้วนะเว้ย การจะกลับไปรู้สึกถึงมันอีกครั้งก็อาจจะทำให้เวลาในปัจจุบันเหลือน้อยลง’ ซึ่งมันทำให้ผมชอบเพลงที่สองนะ มันดูจริง

นอกจากเรื่องแนวดนตรีที่ได้การตอบรับที่ดีจากทั้งแฟนคลับและคนในวงการแล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือ Virtual Music Video สวย ๆ ที่สร้างสรรค์โดย Studio X Beyond เล่าถึงการทำงานร่วมกันครั้งนี้หน่อย
แม็กซ์: ทาง Studio X Beyond เขาเป็น Visual Production Studio ที่เพิ่งมาเปิดในไทยครับ โดยเขามีเป้าหมายที่อยากการทำงาน Visual ที่สามารถเข้าถึงคนทั่วไปได้ ทั้งในด้าน Visual Studio และ Visual Production ที่คุณภาพดีพอ ๆ กับงานในระดับต่างประเทศ ซึ่งพวกเราก็เป็นศิลปินกลุ่มแรก ๆ ที่ได้ทำงานร่วมกับเขา ในตอนแรกทาง Studio X Beyond ก็ถามว่าพวกเราอยากทำงานประมาณไหน พวกเราก็นึกไม่ออก รู้แค่ว่าอยากให้มันมีความเรียบง่ายและมี Production ถ่ายที่ไม่ยุ่งยากมาก ก็เลยคิดกันว่าจะใช้ Setting เดียว แต่เป็น Setting ที่ดูแล้วไม่เหมือนถ่ายที่ประเทศไทย เพราะพวกเราอยากชูความสามารถของ Studio X Beyond ที่แข่งกับต่างชาติได้
ในตอนนั้นผมเพิ่งดู Dune จบไป ก็เลยคิดว่าจะเอาคอนเซ็ปต์ทะเลทรายมาใช้ พอไปคุยกับ Studio X Beyond คอนเซ็ปต์ที่คิดไว้มันก็ดัน Match กันพอดี เพราะ Studio X Beyond เขาจะใช้คอนเซ็ปต์ Sand of Time หรือนาฬิกาทรายที่ไหลไปอย่างต่อเนื่อง ที่ถอดจากเนื้อเพลงของพวกเราท่าน ‘Wading in the sand of time at Harmonica Sundown’ เลยทำให้คอนเซ็ปต์ของ Harmonica Sundown และ Feel Again มันพูดถึงเรื่องของเวลาที่ค่อย ๆ ไหลเปล่ี่ยนแปลงไป Harmonica Sundown ก็จะเป็นช่วงกลางวันที่สีสวย ๆ แต่พอตกกลางคืนไปสู่ Feel Again มันก็จะพาลงลึกไปในจิตใจ ผ่านภาพที่ถูก AI Generate ร่วมกับ 3D Movement ที่เป็นเทคนิคของ Studio X Beyond


สุดท้ายแล้ว ถ้าต้องสร้าง Playlist ที่บ่งบอกความเป็น VAXMENN ขึ้นมาแล้ว พวกคุณคิดว่าเพลงไหนเหมาะจะอยู่ใน Playlist นี้บ้าง
แม็กซ์: My sacrifice - Creed
ปน: โง่ - Silly Fool
ว่าน: If you wanna be my lover - Spice girl
ต็อบ: Unwell - Matchbox Twenty
แอป: I don’t love you - My Chemical Romance
in warm conversation by the sundown light with #VAXMENN Max Jenmana & VENN
/
ทันทีที่ Key Visual สถาปนิก’ 68 เผยแพร่ออกมา บทสนทนาปลุกสัญชาตญาณนักสืบในตัวทุกคนพร้อมใจกันทำงานแบบ Autopilot และระหว่างที่ตามหาเฉลยกันจริงจัง ทุกคนเริ่มหันมาตั้งคำถามต่อว่า Art Toys เกี่ยวข้องกับธีมงานอย่างไร รู้ตัวอีกทีวงสนทนาก็กระเพื่อมขยายกว้างขึ้น ส่งสัญญาณชัดว่า Key Visual ปีนี้เปิดฉากมาแบบสนุกเอาเรื่อง โดนเส้นกันสุดๆ
/
วัลลภ รุ่งกำจัด หรือ อุ้ม นักแสดงที่เชื่อมโยงความเป็นมนุษย์กับโลกของภาพยนตร์ ผ่านการสร้างชีวิตให้ตัวละครต่าง ๆ ได้ออกมาโลดแล่นแสดงความรู้สึกทางอารมณ์ให้กับผู้ชม แม้เขาจะไม่ได้เป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงในวงกว้างเทียบเท่ากับนักแสดงกระแสหลัก แต่ในเวทีระดับโลก “อุ้ม” ได้พิสูจน์ตัวเองกับการเป็นนักแสดงที่มีความสามารถที่ยอมทุ่มเทหลาย ๆ สิ่ง ให้กับงานศิลปะด้านการแสดงในภาพยนตร์เรื่องต่าง ๆ เหล่านี้อย่างสุดตัว
/
คงปฏิเสธไม่ได้ว่าก่อนหน้านี้เราได้รู้จักกับเธอคนนี้ในชื่อของ พัด หรือที่ชอบเรียกติดปากกันว่า พัด ZWEED N’ ROLL เจ้าของเสียงทุ้มมีเสน่ห์ นักร้องและนักแต่งเพลงที่ฝากผลงานเพลงเศร้าเอาไว้ในวงการมากมาย อาทิ ช่วงเวลา, Diary, อาจเป็นฉัน และอีกมากมาย ไม่มีอะไรแน่นอนแม้กระทั่งตัวเราเอง ช่วงเวลาจึงได้พัดพาให้เรามาทำความรู้จักกับ “MAMIO” ในฐานะศิลปินใหม่จากค่าย Warner Music Thailand ซึ่งเป็นอีกตัวตนหนึ่งของคุณพัดที่ไม่เคยถูกปลดปล่อยออกมาเลยตลอดชีวิตการทำงานในวงการสิบกว่าปีที่ผ่านมา หรือถ้าจะให้ซื่อสัตย์กับตัวเองจริง ๆ ก็อาจจะเป็นทั้งชีวิตที่เกิดมาเลยเสียด้วยซ้ำ
/
Whispers เป็นหนึ่งในวงดนตรีที่สะท้อนการเติบโตของวงการ Hardcore ในประเทศไทยอย่างแท้จริง ตั้งแต่จุดเริ่มต้นที่เป็นเพียงกลุ่มเพื่อนที่หลงใหลในดนตรี เพราะนอกจากจะเป็นผู้เล่น พวกเขายังเป็นกำลังสำคัญที่คอยผลักดันซีนฮาร์ดคอร์ในบ้านเรามาโดยตลอด ประสบการณ์ที่สั่งสมทำให้เกิดเป็นสไตล์เฉพาะของ Whispers สร้างความแตกต่างและเป็นเอกลักษณ์ จนทำให้พวกเขาก้าวไปสู่เวทีระดับสากล ถึงแม้พวกเขาจะอยู่ใต้ดินของไทย แต่เสียงคำรามของพวกเขาก็ดังไปไกลถึงทวีปยุโรป มาพบกับเส้นทางดนตรีที่เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจและการเปลี่ยนแปลง กับวงฮาร์ดคอร์ระดับบท็อปของ Southeast Asia
/
ด้วยลายเส้นที่เป็นเอกลักษณ์และรูปแบบงานสักของเขา ที่เรารู้สึกแปลกประหลาดกว่างานสักอื่น ๆ (แปลกประหลาดในที่นี้คือความหมายในแง่ดีนะ) ก็เลยตัดสินใจส่งข้อความทักไปหา “พี่นัทครับ ผมขอสัมภาษณ์พี่ได้ไหม” “ได้ครับ” สั้น ๆ แต่จบ เรื่องราวทั้งหมดก็เลยเริ่มต้นขึ้นที่ร้าน CAVETOWN.TATTOO แถว ๆ ปิ่นเกล้า ซึ่งพี่นัทเป็นเจ้าของร้านแห่งนี้ บทสนทนาของเราเริ่มกันในช่วงเวลาบ่าย ๆ ของวันพฤหัส พอไปถึงร้านพี่นัทกำลังติดงานสักให้กับลูกค้าอยู่หนึ่งคน พอได้เห็นลายที่เขาสักต้องบอกว่าเท่มาก ๆ มันมีความเป็น Psychedelic บวกกับ Ornamental ผสมผสานกับเทคนิค Dotwork จนกลายเป็นงานศิลปะบนผิวหนังหลังฝ่ามือ เราถึงกับต้องถามคำถามโง่ ๆ กับลูกค้าที่ถูกสักว่า “เจ็บไหม” แน่นอนคำตอบที่ได้คือ “โคตรเจ็บ” เพราะจุดที่สักคือหลังฝ่ามือ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งจุดที่หลายคนร่ำลือกันว่าโคตรเจ็บ ระหว่างที่รอพี่นัทไปพลาง ๆ น้องแมคช่างภาพที่มีรอยสัก Full Sleeve เต็มแขนขวา ก็เริ่มกดชัตเตอร์กล้องถ่ายรูปเก็บภาพระหว่างที่เขาสักไปด้วย พอสักเสร็จเรียบร้อยก็ปล่อยให้พี่เขาพักผ่อนกินน้ำ ปัสสาวะ (อ่านแยกคำนะอย่าอ่านติดกัน) ก่อนจะพูดคุย แต่เดี๋ยว ! ก่อนจะเริ่มบทสนทนา เราขอเกริ่นให้ฟังซักนิดนึงเกี่ยวกับชายคนนี้ก่อน
/
ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่ปีวงดนตรีสัญชาติไทยที่ชื่อ KIKI ได้ก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในวงที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากจากทั้งในประเทศไทย ญี่ปุ่น ไต้หวัน สิงคโปร์ ฮ่องกง ก็เพราะด้วยเสียงเพลงที่มีความเป็นเอกลักษณ์ และการนำเสนอแนวคิดที่ไม่เหมือนใคร รวมถึงความตั้งใจในการสร้างสรรค์ผลงานที่สะท้อนถึงตัวตนของพวกเขาได้อย่างชัดเจน
We use cookies, localStorage and other technologies (collectively, "cookies") to recognise your browser or device, learn more about your interests, and provide you with essential features and services and for additional purposes. ( see details )