Time to Hunt เมื่อโลกชำรุด มนุษย์จึงออกตามล่า | IAMEVERYTHING.CO

LOOKING ON EVERYTHING ?

EXPLORE ON EVERYTHING

     “Time to Hunt” เป็นภาพยนตร์เกาหลีใต้กำกับโดย ยูนซังฮยอน และฉายรอบแรกในเทศกาลภาพยนตร์เบอร์ลินเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา (ในโปรแกรม Barlinale Special section) ซึ่งทำให้มันได้รับการบันทึกว่าเป็นภาพยนตร์เกาหลี (ใต้) เรื่องแรกที่ได้ฉายในเทศกาลภาพยนตร์เบอร์ลิน เดิมทีภาพยนตร์เรื่องนี้มีกำหนดออกฉายผ่านสตรีมออนไลน์ทาง Netflix ตั้งต้นต้นเดือนเมษายน แต่เกิดข้อขัดแย้งทางกฎหมายระหว่าง Contents Panda กับ Little Big Pictures สองสตูดิโอที่ร่วมทุนกันสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ในเรื่องการจัดจำหน่ายข้ามประเทศ ทำให้กำหนดการเดิมนั้นถูกเลื่อนออกไป จนในที่สุดก็หาข้อสรุปได้และเข้าโปรแกรมสตรีมออนไลน์อีกครั้งเมื่อปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา

   “Time to Hunt” เป็นภาพยนตร์ที่ผสมผสานกันระหว่างการนำเสนอโลกแบบดิสโทเปียนของหนังไซ-ไฟที่มุ่งเน้นให้เห็นสภาพสังคม เศรษฐกิจ และชีวิตของผู้คนที่ล่มสลายมากกว่าการนำเสนอภาพเปี่ยมจินตนาการของโลกในอนาคตรวมกับการเป็นหนังดราม่าที่พูดถึงความรัก ความผูกพันและมิตรภาพ และใส่บรรยากาศของการเป็นหนังจารกรรมและการตามไล่ล่ามาอย่างละครึ่งเรื่อง

   หนังเล่าเรื่องในช่วงเวลาที่เกาหลีใต้เผชิญปัญหาทางเศรษฐกิจอย่างหนัก ประเทศเป็นหนี้ไอเอ็มเอฟจนไม่สามารถฟื้นฟูได้ เงินเกาหลีใต้หมดความหมาย ผู้คนในประเทศจึงล่มสลายตามไปเนื่องจากสถาบันเล็กสุดอย่างครอบครัวไม่สามารถประคับประคองไปต่อได้ทำให้จำนวนเด็กกำพร้าเพิ่มมากขึ้น เช่นเดียวกับอาชญากรรมและความรุนแรงต่างๆ ที่เพิ่มขึ้น สวนทางกับมาตรการควบคุมของรัฐที่ย่อหย่อน ทำให้หลายเมืองกลายเป็นเมืองร้าง และสภาพสังคมที่หนังนำเสนอนั้นแทบจะเรียกได้ว่า “จบสิ้นแล้ว”

   จุนซอก (อีแจฮุน) ได้รับอิสระหลังจากติดคุกนาน 4 ปีโทษฐานโจรกรรม เขากลับมารวมตัวกับเพื่อนแก๊งเดิมอย่าง คีฮุน (ชเวอูชิค จากเรื่อง “Parasite”) และ จางโฮ (อันแจฮง) ตัว จุนซอก นั้นหลังจากแม่ของเขาจากไปก็เหลือตัวคนเดียว เพื่อนทั้งสองจึงเป็นครอบครัวเดียวเขามี เมื่อทั้งสามกลับมาพบกัน จุนซอก ก็ชวนให้เพื่อนกลับมาปล้นอีกครั้งเพราะมันเป็นวิธีเดียวที่คนนอกกฎหมายอย่างพวกเขาจะสามารถหาเงินเพื่อมาเติมชีวิตในส่วนที่ขาดให้เต็มได้ โดยเขาเลือกที่จะปล้นบ่อนการพนันแห่งใหญ่เพราะเงินที่ปล้นไม่ใช่เงินที่ถูกกฎหมายอยู่แล้ว ดังนั้นจึงน่าจะไกลหูไกลตาจากตำรวจ ตอนแรกทั้ง คีฮุน และ จางโฮ ปฏิเสธเพราะบ่อนที่จะปล้นนั้นขึ้นชื่อเรื่องความโหด แต่จุนซอก ก็ขายฝันให้กับเพื่อนๆ ด้วยการเล่าว่าเมื่อปล้นสำเร็จแล้วจะพากันไปใช้ชีวิตในเกาะเล็กๆ แห่งหนึ่งในไต้หวัน ที่รุ่นพี่ของเขาแนะนำขณะที่อยู่ในคุกว่าเป็นเกาะที่สวยงามราวกับความฝัน

   “ความฝัน” ที่สวยงามซึ่ง จุนซอก นำเสนอนั้นเองจึงกลายเป็นเป้าหมายในชีวิตของคนทั้งสาม จางโฮ นั้นหัวเดียวกระเทียมลีบไร้ครอบครัวไม่ต่างจาก จุนซอก ส่วน คีฮุน มีครอบครัวที่อยู่ไกลออกไป เขายอมร่วมหัวจมท้ายกับคณะขโมยเงินบ่อนเพราะรักเพื่อนและหวังว่าวันหนึ่ง, หากทำภารกิจสำเร็จ, เขาจะกลับมารับครอบครัวไปอยู่ด้วยที่เกาะแห่งนั้น

   “Time to Hunt” เริ่มต้นเล่าเรื่องคล้ายหนังจารกรรมสไตล์จัดอย่าง “Ocean’s 11” ของ สตีเว่น โซเดอเบิร์ก หรือย้อนไปไกลกว่าก็นั้นก็มีความละม้ายคล้ายคลึงกับ “Rififi” หนังปล้นฟิล์มนัวร์คลาสสิคในปี 1955 ของ จูลส์ แดสซิน ทั้งสองเรื่องเริ่มจากการที่หัวหน้ากลุ่มหรือมันสมองของแก๊งออกมาจากคุกและลงมือปล้นครั้งใหม่เหมือนกัน แตกต่างตรงที่ว่า “Time to Hunt” เลือกที่จะไปทางดรามา มากกว่าการปล้นเอาคืนแสบๆ เจ็บๆ แบบแดนนี่ โอเชี่ยน หรือการพาหนังไปสำรวจความลึกลับดำมืดในจิตใจมนุษย์และการไถ่บาปของตัวละครอย่างใน “Rififi”

  แน่นอนว่าการปล้นครั้งนี้ต้องสำเร็จ (เพราะถ้าไม่สำเร็จ การไล่ล่าย่อมไม่เกิดขึ้น) ด้วยความร่วมมือของ ซางซู (พัคจองมิน) เพื่อนร่วมแก๊งที่ทำงานอยู่ในบ่อนที่เป็นเป้าหมายของการปล้น ซึ่งแม้ในช่วงของการวางแผน เตรียมการ และลงมือปล้น หนังจะทำออกมาได้ดีพอสมควร แต่ก็ดูเหมือนว่าไม่ได้เน้นอะไรมากนัก ทุกอย่างเป็นไปตามขนบของหนังแนวนี้คือ มีอุปสรรคบ้างนิดหน่อยพอให้ลุ้นเอาใจช่วย มีการเพลี่ยงพล้ำที่เกือบเอาตัวไม่รอด แต่ตัวละครก็เอาชนะและก้าวข้ามมันไปได้ ที่บอกว่าไม่เน้นนั้นเพราะดูเหมือนว่า เรื่องราวจริงๆ ของ “Time to Hunt” ที่ผู้กำกับอย่าง ยูนซังฮยอน พยายามนำเสนอ จะเกิดหลังจากการปล้นแล้วเสร็จเสียมากกว่า เพราะนั่นคือเวลาแห่งการล่าสมกับชื่อเรื่อง

   บ่อนส่งมือปืนรับจ้างผู้เหี้ยมโหดอย่าง ฮาน (พาร์คแฮซู) มาไล่ล่าแก๊งของจุนซอกโดยมีเป้าหมายอยู่ที่ฮาร์ดดิสค์ที่พวกเขาขโมยมาด้วยมากกว่าการช่วงชิงเอาเงินคืน ฮาน นั้นเป็นนักฆ่าผู้เลือดเย็นและเห็นการล่าเป็นเกมอันน่าสนุก เป็นการล่าเพื่อล่าอย่างแท้จริงโดยไม่มีเป้าประสงค์อื่น คาแรคเตอร์นักล่าแบบนี้ชวนให้นึกถึงตัวละครนักฆ่าอำมหิตที่ ฮาเบียร์ บาร์เด็ม แสดงเอาไว้ใน “No Country for Old Men” หนังในปี 2007 ของพี่น้องโคเอน ซึ่งทำให้ผู้ชมหายใจไม่ทั่วท้องทุกครั้งที่เขาปรากฎตัว เพราะไม่อาจล่วงรู้ได้ว่า นักฆ่าแบบนี้จะทำหรือไม่ทำอะไร กับ ฮาน ก็เช่นกัน เขาออกล่า จุนซอกและพวกราวกับออกล่าสัตว์ในป่า ทำกับชีวิตมนุษย์เหมือนกำลังเล่นเกม

แม้จะไปถึงฝั่งฝัน หรือหลุดพ้นจากชีวิตอันเลวร้ายได้ก็ตาม แต่ก็มีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้คนเราต้องออกล่าอะไรสักอย่าง เพื่ออะไรสักอย่าง ตราบใดที่มนุษย์ไม่หยุดฝัน เราก็พร้อมจะออกล่าได้ทุกเมื่อ

   ครึ่งเรื่องหลังของ “Time to Hunt” จึงกลายเป็นหนังไล่ล่าเจือดราม่าหนักๆ ผู้ชมค่อยๆ ได้เห็นภาพชีวิตอันผุพังซึ่งเป็นผลมาจากสภาพสังคมที่ล่มสลายดังที่ได้กล่าวไปแล้ว ได้เห็นว่าความฝันเรื่องเกาะที่ จุนซอก และเพื่อนยึดโยงมันไว้เป็นเหมือนขอนไม้ที่จะพาชีวิตว่ายข้ามฝั่งไปให้พ้นชีวิตเส็งเคร็งนั้นมีคุณค่ามากแค่ไหน แม้จะไม่เคยมีใครเห็นหน้าค่าตาเกาะที่ว่านี้เลยก็ตาม ได้เห็นมิตรภาพระหว่างเพื่อนที่ผูกมัดไว้แน่นหนาไม่ต่างอะไรกับสายสัมพันธ์ในครอบครัว ได้เห็นการเสียสละ ได้เห็นความรัก และความผูกพันของเพื่อนที่บ้านแตกสาแหรกขาดผู้ผ่านชีวิตล่มสลายเหมือนกัน

   แม้ “Time to Hunt” จะจบลงด้วยโศกนาฏกรรมอย่างที่มันควรจะเป็น แต่หนังก็ยังให้ความหวังกับผู้ชมด้วยการให้หนึ่งในตัวละคร (หรืออาจจะมากกว่านั้น) หลุดรอดบ่วงกรรมไปได้ ก่อนที่จะเลือกทางจบอันชาญฉลาดด้วยการทำให้ผู้ชมเห็นว่า แม้จะไปถึงฝั่งฝัน หรือหลุดพ้นจากชีวิตอันเลวร้ายได้ก็ตาม แต่ก็มีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้คนเราต้องออกล่าอะไรสักอย่าง เพื่ออะไรสักอย่าง ตราบใดที่มนุษย์ไม่หยุดฝัน เราก็พร้อมจะออกล่าได้ทุกเมื่อ

   นอกจากการนำเสนอภาพโลกดิสโทเปียนอันแสนหดหู่สิ้นหวัง ผ่านการจัดวางภาพที่น่าจะได้รับอิทธิพลมาจากการกำกับภาพของ โรเจอร์ ดีกินส์ ผู้กำกับภาพมือรางวัลชาวอังกฤษอยู่พอสมควร (หลายช็อคหลายเฟรมชวนให้นึกถึง “Blade Runner 2049” ที่ดีกินส์ กำกับภาพ) “Time to Hunt” ก็ใช้การตามล่าและความใฝ่ฝันนี่แหละที่เป็นเหมือนแสงสว่างเล็กๆ ในโลกอันชำรุดผุพังและแล้งไร้แสงแห่งความหวัง จากเกาะแห่งความฝัน สู่สิ่งที่มีคุณค่ามากกว่านั้นในตอนท้ายของหนัง

   ราวกับจะบอกผู้ชมว่าในความโหดร้ายแห่งชีวิตที่ “Time to Hunt” นำเสนอนั้น แสงสว่างเดียวที่ตัวละครยึดถือนั้นอาจมีคุณค่าเกินประมาณ มากพอให้เขาได้ออกไล่ล่าไม่ว่ามันจะมีชื่อเรียกว่า “ความแค้น” หรืออะไรก็ตาม
   ในโลกชำรุด พังๆ สิ่งนั้นก็อาจมีคุณค่ามากพอ

ขอบคุณภาพจาก Netflix
    TAG
  • Time to Hunt
  • ยูนซังฮยอน
  • netflix
  • movie
  • culture
  • lifestyle

Time to Hunt เมื่อโลกชำรุด มนุษย์จึงออกตามล่า

CULTURE/MOVIE
5 years ago
CONTRIBUTORS
EVERYTHING TEAM
RECOMMEND
  • CULTURE&LIFESTYLE/MOVIE

    งานศิลปะที่หลอมรวมอยู่ในเนื้อกายภาพยนตร์ The Room Next Door ของ Pedro Almodóvar

    ถ้าเอ่ยชื่อของ เปโดร อัลโมโดวาร์ (Pedro Almodóvar) หลายคนอาจรู้จักเขาในฐานะผู้กํากับเจ้าของ ฉายา “เจ้าป้าแห่งวงการหนังสเปน” ที่นอกจากหนังของเขาจะเต็มไปด้วยลีลาอันจัดจ้าน เปี่ยมสีสัน เต็มไปด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัวอันแปลกประหลาดพิลึกพิลั่นพิสดารเหนือความคาดหมาย และถึง พร้อมไปด้วยศิลปะภาพยนตร์อย่างเต็มเปี่ยมแล้ว ด้วยความที่อัลโมโดวาร์หลงใหลในศิลปะอย่างลึก ซึ้ง ทําให้มักจะมีงานศิลปะปรากฏให้เห็นในหนังของเขาอยู่บ่อยครั้ง และนอกจากเขาจะหยิบงาน ศิลปะเหล่านั้นมาใช้ในหนังเพราะความหลงใหลและรสนิยมส่วนตัวอันวิไลของตัวเองแล้ว ในหลายๆ ครั้ง ผลงานศิลปะเหล่านั้นยังทําหน้าที่ในการช่วยขับเคลื่อนเรื่องราว ขับเน้นบุคลิกภาพของตัวละคร และเป็นสัญลักษณ์ที่สัมพันธ์กับเนื้อหาในหนังอย่างแนบเนียน

    Panu Boonpipattanapong12 hours ago
  • CULTURE&LIFESTYLE/MOVIE

    Love Lies เรื่องรักจากคำหลอกของหญิงหม่ายและมิชฉาชีพ ผลงานการกำกับครั้งแรกของ Ho Miu Ki

    ท่ามกลางลิสต์ภาพยนตร์ต่อสู้ระทึกขวัญ หรือภาพยนตร์ดราม่าเรียกอารมณ์ผู้ชม ใน Hong Kong Film Gala Presentation & Dynamic Cityscapes of Hong Kong Films “งานภาพยนตร์ฮ่องกงพลังหนังขับเคลื่อนเมือง กับนิทรรศการหนังฮ่องกง” ที่เดินทางกลับมาฉายในไทยอีกครั้งในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็ยังมีภาพยนตร์กลิ่นอายโรแมนติกอีกหนึ่งเรื่อง ที่น่าจับตามองไม่แพ้กันอย่าง Love Lies ที่นำเสนอความสัมพันธ์ของแพทย์หญิงหม่าย ที่รับบทโดย Sandra Ng Kwan-Yue (อู๋จินหยู) ผู้ร่ำรวย และมีหน้าที่การงานที่ดี ซึ่งบังเอิญตกหลุมรักกับวิศวกรชาวฝรั่งเศสวัยกลางคน ที่คอยหยอดคำหวานและคำห่วงใยผ่านแชทมาให้ตลอด จนกระทั่งเธอค้นพบความจริงว่าเบื้องหลังแชทเหล่านี้เกิดขึ้นด้วยคำลวงจากฝีมือเด็กหนุ่มมิชฉาชีพ ที่รับบทโดย MC Cheung (เอ็มซีเจิ้ง) ดังนั้นเรื่องราวต่อจากนี้ในภาพยนตร์จึงเป็นการค้นหาคำตอบของเธอในสมการความสัมพันธ์ครั้งนี้ว่าจะจบลงอย่างไร

    EVERYTHING TEAM5 months ago
  • CULTURE&LIFESTYLE/MOVIE

    Nick Cheuk ผู้กำกับและนักเขียนบท Time Still Turn The Page ภาพยนตร์ทรงพลังที่ท่วมท้นด้วยคำชื่นชมจากทั้งในและนอกฮ่องกง

    ความสำเร็จด้านรายได้กว่า 100 ล้านเหรียญฮ่องกงของ A Guilty Conscience จากการกำกับของ แจ็ค อึ่ง (Jack Ng) สร้างปรากฏการณ์ใหญ่ที่นับได้ว่าเป็นความหวังใหม่ของอุตสาหกรรรมภาพยนตร์ของฮ่องกง และทำให้บรรยากาศของแวดวงนี้ดูจะกลับมาคึกคักอีกครั้งในสายตาของแฟนหนังทั่วโลก พอ Hong Kong Film Gala Presentation หรือที่ในปีนี้ใช้ชื่อเต็มว่า Hong Kong Film Gala Presentation & Dynamic Cityscapes of Hong Kong Films “งานภาพยนตร์ฮ่องกงพลังหนังขับเคลื่อนเมือง กับนิทรรศการหนังฮ่องกง” ได้กลับมาจัดอีกครั้งในประเทศไทย ก็ทำให้ลิสต์ในปีนี้เต็มไปด้วยภาพยนตร์คุณภาพที่น่าจับตามองจากฝีมือการกำกับของผู้กำกับรุ่นใหม่ และจากพลังของนักแสดง

    EVERYTHING TEAM5 months ago
  • CULTURE&LIFESTYLE/MOVIE

    บทสนทนาเชิงลึกกับสองผู้กำกับหนังสารคดี Breaking The Cycle

    ภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้สามารถเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่จะบอกเล่าแก่คนรุ่นหลังได้ว่าพวกเราซึ่งเป็นประชาชนภายในประเทศนี้ผ่านอะไรกันมา กำกับโดย “เอกพงษ์ สราญเศรษฐ์” (เอก) ผู้กำกับภาพยนตร์อิสระจากสงขลา เอกเริ่มกำกับสารคดีสั้นเกี่ยวกับความตายของ กฤษณ์ สราญเศรษฐ์ ลุงของเขาในชื่อเรื่อง “คลื่นทรงจำ” (2561) ซึ่งได้รับรางวัลสารคดีสั้นยอดเยี่ยมในงานเทศกาลภาพยนตร์สารคดีนานาชาติ DMZ ที่ประเทศเกาหลีใต้ และได้เข้าฉายในเทศกาลต่างประเทศอีกหลายแห่ง และผู้กำกับอีกคน คือ “ธนกฤต ดวงมณีพร” (สนุ้ก) ผู้กำกับภาพยนตร์และผู้กำกับภาพ ที่ได้เข้าชิงรางวัลช้างเผือกจากเทศกาลภาพยนตร์สั้นแห่งประเทศไทยครั้งที่ 21 จากเรื่อง “ทุกคนที่บ้านสบายดี” (2560) และได้รับเลือกฉายในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติไห่ หนาน

    EVERYTHING TEAM7 months ago
  • CULTURE&LIFESTYLE/MOVIE

    งานศิลปะที่รายล้อมตัวละครในหนังทริลเลอร์จิตวิทยา Inside (2023)

    Inside (2023) หนังทริลเลอร์จิตวิทยาของผู้กำกับสัญชาติกรีซ วาซิลลิส แคตซูพิส (Vasilis Katsoupis) ที่เล่าเรื่องราวของของนีโม (วิลเลียม เดโฟ) หัวขโมยที่ลักลอบเข้าไปในเพนท์เฮ้าส์สุดหรูของสถาปนิกชื่อดัง เพื่อขโมยงานศิลปะราคาแพงที่สะสมอยู่ในนั้น แต่ดันบังเอิญโชคร้ายถูกระบบนิรภัยขังอยู่ภายในคนเดียว ท่ามกลางงานศิลปะที่อยู่รายรอบ จนเขาต้องหาทางเอาชีวิตรอดอยู่ข้างใน โดยอาศัยข้าวของรอบตัว หรือแม้แต่งานศิลปะที่อยู่ในนั้นมาใช้เป็นเครื่องมือก็ตาม เรียกได้ว่าเป็น Cast Away เวอร์ชันอาชญากรก็ได้

    Panu Boonpipattanaponga year ago
  • CULTURE&LIFESTYLE/MOVIE

    Exclusive Talk กับผู้กำกับและนักแสดงนำหญิงจาก “A Guilty Conscience” ภาพยนตร์ฮ่องกงเรื่องแรกที่ทำรายได้ทะลุร้อยล้านเหรียญฮ่องกง

    ฮ่องกง เมื่อราวสิบยี่สิบปีก่อน นับได้ว่าเป็นอีกหนึ่งประเทศที่น่าจับตามองมาก ๆ ในฐานะประเทศที่ส่งออกภาพยนตร์ออกสู่สายตาของประชาคมโลก ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ต่อสู้กำลังภายใน ภาพยนตร์มาเฟีย หรือแม้แต่ภาพยนตร์ชีวิตที่ถ่ายทอดอารมณ์ได้อย่างลึกซึ้งของหว่องกาไว จนเรียกได้ว่าเป็นยุคทองของอุตสาหกรรมฮ่องกง แต่ด้วยปัจจัยหลาย ๆ อย่าง ทำให้ความคึกคักของภาพยนตร์ฮ่องกงเริ่มเงียบเหงามากขึ้นเรื่อย ๆ จนแฟนหนังฮ่องกงหลายคน ออกปากบ่นคิดถึงความรุ่งเรืองในอดีต ดังนั้นเมื่อเกิดปรากฏการณ์ความนิยมระดับ 100 ล้านเหรียญฮ่องกง ของภาพยนตร์อาชญากรรมอย่าง A Guilty Conscience ขึ้นมาแล้ว แสงที่เคยริบหรี่ก็อาจจะกลับมาสว่างไสวขึ้นมาอีกครั้ง

    EVERYTHING TEAMa year ago
SIGN UP TO OUR NEWSLETTER
A Monthly update of the new issue from us
THANK YOU FOR YOUR SUBSCRIPTION

We use cookies, localStorage and other technologies (collectively, "cookies") to recognise your browser or device, learn more about your interests, and provide you with essential features and services and for additional purposes. ( see details )