LOOKING ON EVERYTHING ?
EXPLORE ON EVERYTHING
เพลงใหม่ดี ๆ จากวง THE JUKKS ที่ปลดล็อคความรู้สึกให้ผู้ฟังได้เกิดใหม่
เมื่อเสียงดนตรีคืออวัยะวะชิ้นที่ 33 ของวง “The Jukks” จึงไม่แปลกใจที่แม้ผ่านเวลาไปเกือบ ๆ 13 ปี (จากอัลบั้มแรกจนถึงซิงเกิลปัจจุบัน) พวกเขาเหล่าศิลปินจากค่ายเพลงห้องเล็ก ก็ยังสื่อสารกับทุกคนในทุกช่วงเวลา ผ่านเสียงดนตรีที่สะท้อนถึงความเป็นเอกลักษณ์ของวง ด้วยเนื้อหา แนวคิด และมุมมองทางดนตรีใหม่ ๆ ได้อย่างมีสไตล์ และยังโดดเด่นด้วยการใช้ภาษาในการเขียนเพลง
The Jukks ปล่อยเพลง “คงมี (Maybe I Hope)” เพลงล่าสุด ให้ทุกคนได้ฟังต้อนรับซัมเมอร์ มาพร้อมกับเนื้อหาที่ให้กำลังใจ ให้ความหวัง ให้ทุกคนสามารถปลดล็อคความรู้สึกข้างในเพื่อเดินต่อไปข้างหน้าได้ โดยในส่วนของพาร์ทดนตรีก็ผสมซาวด์ดีไซน์สมัยใหม่กันแบบจริงจัง มีรายละเอียด ซึ่งทั้งหมดคือสิ่งที่พวกเขาอยากจะสื่อสาร และเหมาะกับตัวตนของวงอย่างเป็นที่สุด

THE JUKKS เริ่มต้นจนถึงปัจจุบัน
เริ่มจากทุกคนเรียนศิลปะที่เดียวกัน (มหาวิทยาลัยศิลปากร) ก็ชอบเล่นดนตรีกันอยู่แล้วครับ พอดีในมหาลัยมันมีงานให้เล่นดนตรีเยอะ มีการประกวดกันอยู่เรื่อย ๆ ซึ่งแบบว่า เฮ้ย มันไม่ดูไม่เหมือนการประกวดเลย เหมือนคนขึ้นไปแอคกันอะไรอย่างเงี้ย เราก็อยากทําบ้าง (ทุกคนหัวเราะ) เราอยากเท่บ้าง เตอร์ก็เลยชวนทุกคนมาเล่นดนตรีกันดีกว่า แต่ตอนนั้นพวกเราก็เล่นกันอยู่แล้วนะแต่อยู่คนละวงกัน พอเล่นกันที่มหาลัยบ่อย ๆ ก็เริ่มรู้สึกว่าฝีมือพอไปได้นี่น่า พวกเราเลยไปฝึกวิชาเพิ่มด้วยการไปเล่นดนตรีกลางคืน ตอนนั้นถือเป็นช่วงสะสมประสบการณ์ แล้วพอพวกเราเริ่มแต่งเพลง ก็เลยคิดว่าลองทําเพลงในแบบที่เรา 3 คนชอบกันดู
ซึ่งยุคนั้น Myspace มันเข้ามาพอดี เราต้องมีเพลงเป็นของตัวเองถึงจะเท่ ก็ลุยทำกันแต่ก็ยังไม่ได้ให้ใครฟังมากเท่าไร แล้วพอแมวส่งเพลงให้ ดีเจนอร์ Fat Radio ฟัง พี่เขาก็ชอบก็สนใจ เลยเอาคอมให้เครื่องนึงแล้วก็สอนเบสิคคร่าว ๆ ให้พวกเรานั่งทำเพลงกับมันไป ก็ทำกันที่ Fat radio นี่แหละครับ ซึ่งเป็นไทม์ไลน์เดียวกับตอนที่พวกเราเรียนจบแล้วก็เล่นกลางคืนกันด้วย ลุยทำแบบมวยวัดไปเรื่อย ๆ แล้วพอค่ายสมอลรูมเกิดโปรเจกต์ “Smallroom 007 : Boutique” ที่ “บู้ เสลอ” เป็นคนดูแล บู้ก็ไปเลือกวงต่าง ๆ จาก Myspace มา ซึ่งก็มีวงพวกเราด้วย แต่ก็ต้องให้เครดิต “ตง แทททูคัลเลอร์” อีกคน คือเหมือนตอนแรกทางสมอลรูมก็คุยกันในค่ายว่าจะรับไม่รับวงนี้ แล้วเหมือนตงก็อยู่ในที่ประชุมด้วย เขาก็ถามตงว่าชอบไม่ชอบ ตงก็ตอบว่า “ชอบ” พี่รุ่งก็เลยให้ตงโทรติดต่อมาที่วง พอหลังจากโปรเจกต์นั้นพวกเราก็ได้ออกอัลบั้มเต็ม Cup D (2011), CLIPS (2017) กับทางค่ายสมอลรูม และยังได้ทำเพลงประกอบโฆษณา เพลงประกอบภาพยนตร์ต่าง ๆ ปล่อยซิงเกิลเรื่อย ๆ จนถึงเพลงใหม่ล่าสุดเพลงนี้ “คงมี”

ที่มาและคอนเซ็ปต์เพลง “คงมี”
แกน : มันเริ่มมาจากเวลาผมนึกเมโลดี้อะไรออก ผมจะอัดเก็บไว้ตลอด แล้วมันมีอยู่เมโลดี้หนึ่งที่มันทัชเรามาก ซึ่งเมโลดี้นี้มันอยู่กับผมมานานแล้ว แต่เหมือนอยู่ดี ๆ มันก็กลับเข้ามาในหัวแล้วก็นึกถึงทำนองมันออกเลย ซึ่งแปลว่าไอ้เมโลดี้นี้ มันต้องเจ๋งใช้ได้เลย เพราะมันหายไปแล้วแต่ยังกลับมาได้อีก ผมก็เลยกลับไปลองรื้อดู ลองเอามาใส่คอร์ดดู ซึ่งการทำเพลงช่วงหลัง ๆ ผมจะมีแนวคิด “น้อยแต่มาก” ด้วยการพยายามจะคิดให้เยอะ แต่เล่นให้น้อย หรือเล่นให้มันเท่ ๆ อะไรสักอย่างนึงในรูปแบบของเรา อยากเน้นเรื่องซาวด์ต้องทําให้มันทันสมัยมากขึ้นกว่าเดิม โดยในพาร์ทเหล่านี้มันก็รวมไปถึงเรื่องของการคิดคอร์ด จึงทำให้เพลงนี้จะมีรายละเอียดทางคอร์ดใหม่ ๆ ที่แตกต่างจากเดิมแต่เป็นในรูปแบบของพวกเรา ส่วนในเรื่องของเนื้อหา มันเขียนขึ้นมาในช่วงโควิดครับ คือคนล็อกดาวน์กันหมดไม่มีใครไปไหนได้ ก็รู้สึกว่า เฮ้ย มีอะไรแบบให้กําลังใจตัวเองไว้ซะหน่อย ก็เลยลองแต่งเพลงที่ให้กําลังใจคนขึ้นมา ตอนนั้นก็ลุยเขียนไม่หลับไม่นอนจนเช้าไปโดยปริยาย พอเมื่อเราได้เห็นแสงแดดตอนเช้าสาดเข้ามา สมองมันก็คิดเนื้อเพลงแรกที่เข้ากับเมโลดี้ท่อนนี้ “แดดยามเช้ายังมี ยังมีวันพรุ่งนี้” ได้พอดี


กระบวนการทำงานเพลง “คงมี” ในแต่ละพาร์ทของแต่ละคน
แกน : ผมจะขึ้นเนื้อร้องทํานองกับคอร์ดมาเป็นเดโมดราฟท์แรกก่อน แล้วก็ส่งไปให้พี่รุ่งฟัง ซึ่งพี่รุ่งชอบมาก แต่อยากจะให้เนื้อเพลงมันขยี้กว่านี้ ก็เลยส่งต่อไปที่แมว
แมว : ผมก็จะมาขยํา ๆ ซัก ๆ เย็บ ๆ แล้วก็รีดให้เนี้ยบจนเกิดความสวยงาม
แกน : อย่างเช่นคําว่า “คงมี” ในเนื้อร้องเนี่ย ก็มาจากแมวนะครับ คือผมไม่ได้มีปัญหาอะไรที่จะเปลี่ยน เพราะพอมันเปลี่ยนแล้วมันดีกว่าในแง่ของความหมาย โดยตอนแรกเนื้อเพลงมันจะเป็น “แดดยามเช้ายังมี ยังมีวันพรุ่งนี้” แต่พอเปลี่ยนเป็น “แดดยามเช้าคงมี คงมีวันพรุ่งนี้” มันคือการให้กําลังใจที่ไม่เวอร์เกินไปครับ คือเราจะรู้ได้ยังไงว่ามันมีจริง ๆ วะ สําหรับคนนี้ เค้าอาจจะไม่มีแล้วก็ได้นะเว้ย แต่อย่างน้อย ๆ เราให้กําลังใจเขาไปก่อน ซึ่งผมรู้สึกว่ามันดู Real มันดูจริงกว่า ผมก็เลยเข้าถึงได้ ซึ่งมันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกันกับนามสกุลของผมขนาดนั้น (หัวเราะ)
แมว : หลังจากเราเคลียร์เนื้อเพลงเสร็จ ผมก็จะไปทำ Arrange ให้กับเพลง มีผม พี่เทอดศักดิ์ (Producer) และก็แกน สามคนนั่งฟังกันเป็นสิบยี่สิบรอบ ตรงนี้ดีไหมปรับตรงไหนเพิ่ม
เตอร์ : ส่วนผมก็จะช่วยดูในเรื่องแผนการตลาด การโปรโมท และ PR ตามสื่อ Social Media ต่าง ๆ ว่าจะไปในทิศทางไหนให้มันดีที่สุดสำหรับวงของพวกเรา เพราะคนอื่น ๆ ก็จะเริ่มง่วนทําเพลงใหม่ต่อไป เพราะเราตั้งใจจะทำเป็นอัลบั้มกันด้วย ก็เลยแบ่งพาร์ทงานกันไปประมาณนี้
จากอัลบั้มแรกจนถึงซิงเกิลปัจจุบัน รวมระยะเวลาที่ผลิตงานเพลงมาแล้วประมาณ 13 ปี อะไรคือสิ่งที่ทำให้วง THE JUKKS ยังคงทำงานเพลงอยู่
แกน : คือผมมองภาพรวมการใช้ชีวิตของพวกผมนะ มันไม่ใช่นักดนตรีอ่ะครับ พวกผมเรียนศิลปะกันมา เพราะฉะนั้นมันเลยไม่ใช่ความฝันแรกของเราอยู่แล้วที่จะมาเป็นนักดนตรีอะไรอย่างนี้ อยู่ดี ๆ มันก็เพิ่งผุดมาเมื่อไม่นานมานี้ แล้วเผอิญทุกอย่างมันประจวบเหมาะทําให้เราทําได้ แล้วเราดันสนุกกับมันไปด้วย ก็ผ่านกันมาครบทุกรสชาติไปหมดแล้ว ผมเลยมองว่าการจะไปต่อได้ไม่ได้ มันเป็นเรื่องของหลาย ๆ จุดด้วย ซึ่งถ้าผมเป็นคนเรียนดนตรีกันมา แล้วถ้าพูดกันตามตรงเดี๋ยวนี้มันก็ไม่ค่อยประสบความสําเร็จเท่าไรละ ถ้ามันเป็นอย่างนี้อยู่ ก็คงต้องเลิกแล้วอาจจะต้องไปหาอย่างอื่นทํา แต่สำหรับผม ๆ รู้สึกว่าพอยิ่งโตก็มีเรื่องราวในชีวิตเยอะขึ้น แบบเครียดแทบตาย แบบรู้สึกแย่แทบตาย พอมาได้เล่นดนตรีปุ๊บ ความรู้สึกต่าง ๆ มันหายไปหมดเลยโคตรสนุกเลย ก็เลยกลายเป็นว่า อ้าว ไอ้เหี้ยสนุกนี่หว่า ซึ่งถ้าเขาก็ยังโอเคกับการให้เราได้นําเสนอผลงานต่อไปเรื่อย ๆ ในแบบนี้ “เราก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องเลิกทํา” เพราะสุดท้ายแล้วมันเป็นเพลงที่เฉพาะกลุ่มครับ เราก็ไม่ได้คาดหวังให้คนทั้งหมดต้องมาชอบเรา มันเป็นแค่เพลงสำหรับคนเฉพาะกลุ่ม แต่พวกเราก็ยังได้เห็นคนเฉพาะกลุ่มนั้นอยู่ตลอด ๆ ได้เห็นเด็ก ๆ ในยุคนี้ยังฟังเพลงพวกเราอยู่ แบบ “คนฟังยุคใหม่เว้ยเขายังฟังอยู่เว้ย” อะไรอย่างนี้ มันเลยทําให้เรารู้สึกว่ายังทําต่อไปได้ เพราะมีคนส่งพลังงานให้เราทําต่อเรื่อย ๆ

แมว : จริง ๆ มันกลายเป็นชีวิตผมไปแล้ว เพราะปัจจุบันผมก็ทํางานอยู่ในตรงนี้ด้วย แต่ก็เคยออกจากตรงนี้ไปแล้วครั้งนึงด้วยนะพี่ ในตอนชุดสองที่มันไม่ได้เปรี้ยงปร้างเหมือนช่วงแรก ๆ แบบจิตตกหนักเลย ถึงขนาดพูดกับตัวเองว่ามึงน่ะหลอกตัวเอง มึงไม่ใช่นักดนตรีหรอก มึงหลอกตัวเองอยู่ แล้วก็ลาออกจากงานที่เป็นอาชีพนักแต่งเพลง ตอนนั้นผมคิดว่าจะไม่ทําเกี่ยวกับวงการนี้อีกละ แต่สุดท้ายก็ได้กลับมาทำงานตรงนี้กับพี่รุ่งอีกครั้ง ซึ่งหลังจากนั้นต่อให้ชีวิตจะไม่ได้ราบเรียบเท่าไร แต่พอได้ทํางานเพลง มันกลายเป็นให้ความรู้สึกว่านี่แหละ “งานในฝันของฉัน”
เตอร์ : ผมว่ามันเป็นเหมือนเรื่องที่ทุกคนอยากได้แหละครับ มันก็คือเรื่องอาชีพในฝัน แต่ของผมเป็น The Jukks ครับ เพราะผมรู้สึกว่า เอ้ยเชี่ยแม่งสนุกชิบหายเลยว่ะและไอ้พวกเหี้ยนี่ก็สนุกอ่ะ แถมได้เล่นดนตรีด้วย ในตอนแรกตัวผมไม่ได้อยากเป็นนักดนตรีไปจนแก่อยู่แล้วแค่รู้สึกว่าอยากเท่เฉยๆ แต่พอเห็นวง Red Hot Chili Peppers ที่เริ่มแก่แล้วไอ้พวกนี้ก็ยังสนุกอยู่ เท่อยู่ มันก็ได้เว้ย บวกกับจุดยืนของวง The Jukks คือการให้กําลังใจ มันเลยเหมือนให้กําลังใจตัวเองไปด้วย กลายเป็นมีแต่พลังบวก บางทีผมก็ต้องทําอย่างอื่นก็มีเรื่องเซ็ง ๆ อยู่ แต่มันก็เหมือนที่พี่แกนบอก พอได้กลับมาเล่นดนตรี แม่งก็มันส์แล้วอ่ะ สนุกแล้วอ่ะ ยิ่งได้เห็นแฟนเพลงรุ่นใหม่ ๆ มันก็เติมเต็มความรู้สึกดี ๆ เข้าไปอีก


แกน : คือทุกครั้งพวกเราดีใจมากอยู่แล้วเวลามีคนมาชอบงานเพลงเรา แต่พอยุคนี้มันเป็นเรื่องของการเวลาที่มันผ่านมานานแล้ว พอได้เจอน้อง ๆ ที่ยังเรียนอยู่เลยแต่เขาฟังเพลงเราที่มันลึกมากกว่าเพลงฮิต มันก็จะเป็นไรที่แบบว้าว แบบเฮ้ย เราก็ยังทําต่อได้นี่
เตอร์ : คือเรื่องนี้ผมอวดเลย เพราะว่าผมยังชอบเที่ยวอยู่ ซึ่งจะเจอบ่อยมาก แล้วผมก็จะไปเล่าไปส่งพลังงานให้พวกมันฟังแบบว่า เฮ้ยมันเวิร์คนะเว้ย คนแม่งโอเคกับพวกเรานะเว้ย พอเราได้เจอเราได้รับเอง มันเลยทำให้ความรู้สึกทุกอย่างดีไปหมด โดยหลัก ๆ สองคนนี้จะเป็นคนผลิตงานก็ไม่ค่อยได้ไปไหน ส่วนผมเป็นคนร่อนไปหาข้อมูลโน้นนั่นนี่ แล้วพอคนผลิตงานไม่ได้รับพลังงานมันก็จะมีอะไรอีกแบบหนึ่งออกมา มันเลยต้องส่งสารพลังงานให้กัน ซึ่งก็ดีนะมันทำให้ผมได้เห็นอะไรหลายแบบเยอะดี และทำให้เรายังสนุกสนานได้ตลอดเวลา ถ้าหากจะมาวัดกันเรื่องได้กับเสียในการทำต่อ ผมว่าผมได้เยอะมหาศาลแล้ว ไม่ว่าจะเรื่องตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เพราะมันก็ไม่ได้มาเบียดเบียนอะไรกับชีวิต
แกน : คือเหมือนอย่างที่บอกแหละครับ เป็นเพราะพวกเรามีอาชีพหลักอย่างอื่นสํารองกันไว้อยู่แล้วประมาณนึงด้วย
เตอร์ : แต่ว่าก็มียุคนึงที่เราใช้การเล่นดนตรีเป็นอาชีพหลักเหมือนกัน เพราะมันได้ตังค์เยอะมีเล่นทุกวัน (หัวเราะ)

เป้าหมายในอนาคตต่อไปสำหรับวงดนตรี THE JUKKS
ปีนี้มีอัลบั้มแน่นอนครับ จริง ๆ กําหนดวันไว้แล้ว แต่ว่าวงเราเสมอต้นเสมอปลายแห่งเจ้าพ่อการเลื่อน เราก็เลยบอกว่าเร็ว ๆ นี้ละกันครับ (หัวเราะ) เพราะในตอนนี้กําลังเร่งในส่วนของพาร์ททําเพลง แล้วก็พาร์ทต่างๆ ของอัลบั้มและหลังจากเพลง “คงมี” ก็จะมีซิงเกิลต่อไปที่วางไว้ ซึ่งก็ทําเสร็จแล้วครับ ส่วนในเรื่องของการทัวร์ว่าจะมีเล่นที่ไหนกันบ้างก็ลองติดตามในเพจวงของพวกเราได้ รับรองเข้มข้นแน่นอน สำหรับพวกผมตอนแรกมันเหมือนจะจบลงที่อัลบั้มสอง แต่พอมีอัลบั้มที่สาม มันเรียกว่า “สุขสมหวังดั่งใจ” เหมือนกับความฝันเลยนะถ้าได้ปล่อยอัลบั้มนี้ไป และหลังจากนั้นจะทําอะไรกันก็ว่าไป อ่อ อีกอย่างนึงสำหรับอนาคตที่พวกเราอยากจะทำก็คือ อยากมีคอนเสิร์ตที่ไม่ต้องใหญ่อลังการเวอร์มาก เพราะพวกเราก็ยังคงคอนเซ็ปต์เดิม คืออยากได้คนที่อยากดูจริง ๆ แต่ก็ยังไม่ใช่ในตอนนี้รอจังหวะให้บารมีถึงก่อน (หัวเราะ) อาจจะแบบว่าถ้า 50 หรือ 60 แล้วยังไม่ตาย และก็ยังทําเพลงกันได้ มันก็อาจจะมี ตอนนี้ก็ทําไปเรื่อย ๆ ให้สนุกที่สุด
นอกจากการทำเพลง แต่ละคนในวงช่วงนี้ทำอะไรกันอยู่
แกน : ผมทําร้านสักและก็ทําร้านกัญชาครับ ร้านสักเนี่ยคือทําเป็นสตูดิโอที่บ้านเป็นหลัก ชื่อ “Inkclean Tattoo Studio” ครับ ก็ฝากด้วยถ้าใครสนใจก็ลองเข้าไปดูได้ เพราะว่าไอ้งานสักเนี่ยมันก็เป็นอีกงานนึงที่ผมเพิ่งมาค้นพบตอนช่วงช่วงโควิดนี่เอง เพราะไม่มีอะไรทําอะครับ ก็เลยลองสักดู มันเป็นสิ่งหนึ่งที่หายไปจากชีวิตแต่เราทํามันมาตลอดคือการวาดรูปครับ คือผมไม่ได้เล่นดนตรีมาตลอดชีวิต เพิ่งมาเล่นเอาตอนม.4 ม.5 นี่เอง แต่สิ่งที่ผมทํามาตลอดชีวิตเลยคือการวาดรูป ถ้าให้แข่งเล่นกีตาร์แบบมาดวลกันผมไม่กล้า แต่ถ้ามาท้าผมวาดรูปก็มาดิคือแบบผมสู้ เพราะฉะนั้น “การสัก” มันเลยเหมือนเป็นการได้กลับมาทํางานศิลปะของตัวเองอีกครั้ง มันเป็นงานศิลปะที่ทําแล้วสนุกมาก มันคือ “เฟรมผ้าใบที่เป็นหนังมนุษย์” ซึ่งมันให้สีให้อะไรที่ผืนผ้าใบแคนวาสก็ให้ไม่ได้ มันไม่เหมือนกันเลยครับ มันมีเสน่ห์บางอย่างผมก็เลยรักมันไปเลย แต่ก็มีข้อเสีย คือ ผมจะปวดหลังมาก เพราะมันต้องเกร็งต้องใช้กล้ามเนื้อ ก็เลยกลายเป็นว่าถึงผมจะชอบมากแต่ก็จะ Work-life balance ไม่รับเยอะ บวกกับผมช่วงนี้ผมทําเพลงด้วย แต่ก็นัดเข้ามาได้ตลอดเลยนะครับ หาเวลาให้ทุกคนได้หมดแต่ผมจะไม่รับวอล์คอิน จะเน้นนัดคิวจองคิวล่วงหน้า ซึ่งผมทำงานสักมาประมาณ 6 ปีได้แล้วครับ คือทํามานานแล้วก็สั่งสมประสบการณ์มาเรื่อย ๆ สามารถทักมาสอบถามได้ที่เพจ “Inkclean Tattoo Studio” ครับ

ส่วนธุรกิจที่สองก็คือร้านกัญชา “Never Not High” มีผม มีเตอร์ แล้วก็มีน้องบอสกับน้องเฮเลนวง KIKI ที่ทําด้วยกัน ก็เป็นความชอบอีกเหมือนกันครับสำหรับธุรกิจนี้ มันเป็นความชอบบวกกับจังหวะเวลาที่ทุกอย่างมันถูกต้องถูกกฎหมายพอดี บวกกับพ่อผมป่วยเลยอยากจะลองใช้สิ่งนี้เป็นทางเลือกดู มันก็เลยเป็นจุดที่ผนวกกันทุกอย่าง เราก็สนใจเรื่องนี้ น้อง ๆ ก็สนใจ ก็เลยคิดกันว่าพวกเรามาเปิดร้านกันไหม ซึ่งตอนแรกผมก็ศึกษาและลงแรงปลูกเองเลย แต่ตอนนี้ไม่ได้ทำแล้วครับ เพราะการปลูกกัญชาคือการทําอย่างอื่นไม่ได้เลยถ้าเราจะทําให้มันดีจริง ต้องคุยกับมัน ต้องเล่นกีตาร์ให้มันฟัง ต้องประคบประหงมมาก ๆ ซึ่งสําคัญเลยนะ เพราะมันส่งผลต่อคุณภาพผลผลิต ผมจะปลูกได้ดีที่สุดคือตอนโควิดเพราะมันไม่มีอะไรทํา นั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ในเต็นท์เลย แต่พอเริ่มปลดล็อกดาวน์เริ่มมีเล่น โอ้ยใครจะรดน้ำแบบโน่นนี่นั่น ตอนนี้ก็เลยไม่ได้ปลูกแล้วครับ

เตอร์ : นอกจาก The Jukks ก็จะมีร้านกัญชานี่แหละครับอย่างที่พี่แกนพูดไป แต่ถ้าเป็นแผนส่วนตัวในอนาคต ผมก็รู้สึกว่าอยากจะสร้างงานศิลปะของตัวเอง เหมือนตอนนี้มันจะมีแต่งานกลุ่ม ก็อยากลองเดี่ยวดูบ้าง ซึ่งยังหา ๆ อยู่ ว่าจะเป็นงานรูปแบบไหนครับ
แมว : ตอนนี้เป็นทีมงานโปรดักชั่นของค่าย Small Room ครับ งานผมจะเน้นหลัก ๆ ไปทางแต่งเพลง โดยในทีมก็จะมี ผม, เย่ เสลอ, พี่นิ้มวงกูส และพี่เทอด จะเป็นแก๊งโปรดักชั่นมิวสิค ซึ่งผมจะอยู่กับคนกลุ่มนี้เยอะที่สุดละ แล้วก็มีไปตีกลองกับให้วง “The drink hang drunks” แล้วตอนนี้ทางวงเขาก็ชวนให้ไปทำโปรดิวเซอร์ให้ และก็มีงานจ๊อบอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับดนตรี ซึ่งงานหลักไม่เสียนะครับ (หัวเราะ)
แกน : ขอเพิ่มนิดนึงนะครับ ตอนนี้ผมมีทําไซด์โปรเจกต์วง “Die One Thousand Deaths” ที่ยังไม่มีเพลงเลย (หัวเราะ) แต่ว่ามีการเริ่มไปประมาณนึงล่ะ มันเป็นโปรเจ็คพิเศษ ซึ่งน่าจะได้ฟังกันเร็ว ๆ นี้ครับ โดยเกิดจากที่ผมไม่ค่อยได้ไปทําอย่างอื่นเท่าไหร่ ผมก็ทําแต่ The Jukks อย่างเดียว แล้วเผอิญในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา ผมก็มีโอกาสไปแต่งเพลงให้คนโน้นคนนี้บ้าง เราก็เลยรู้สึกว่าบางทีไอ้การที่ไปทําอย่างอื่นบ้างเนี่ย ก็เหมือนเราไปเรียนรู้ขั้นตอนการทํางานของคนทําเพลงที่อื่น ซึ่งเขาก็จะมีรูปแบบที่แตกต่างไป มันทำให้เราได้เรียนรู้เพิ่มด้วย แล้วมันก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร เพราะสามารถแบ่งพาร์ทกันทําได้ สมาชิกก็จะมีบูม มีโบ๊ท วง The Yers แล้วก็มีน้องแบงค์กับน้องไมค์อีกสองคน รวมเป็น 4 คน ซึ่งมันก็มีความตื่นเต้นเพราะเราใช้ระบบการทําเพลงแบบ The Jukks แต่แค่เปลี่ยนคน ซึ่งงานมันจะออกมาเป็นแบบไหนผมก็อยากรู้
เตอร์ : จริง ๆ วงนี้ผมก็เป็นผู้จัดการวง ก็อยากลองทำอย่างอื่นดูบ้างอยากลองแต่งตัวแบบเก็บแชร์ (หัวเราะ)
คำจำกัดความของวง THE JUKKS ในความหมายของแต่ละคน
แกน : สั้นๆเลยครับ “The Jukks คือกัญชาของผม” (หัวเราะ) ผมจะไม่มีวันเลิกมันแล้วผมก็จะมีความสุขกับมัน จริง ๆ ก็ประมาณนี้แหละครับมันเป็นเรื่องความหลงใหล ก็เพราะว่าเราชอบจริง ๆ
เตอร์ : พี่ชายข้างบ้านที่ยังฟังเพลงร็อค
แมว : The Jukks ก็คือ The Jukks
https://www.youtube.com/watch?v=k1DovRs25t0
.
สามารถติดตามผลงาน The Jukks ได้ที่
https://www.facebook.com/jukkarare
.
Writer : Samattachai B.
Photographer : Warisara Kutrakool
“คงมี (Maybe I Hope)” เพลงใหม่ดี ๆ จากวง THE JUKKS ที่ปลดล็อคความรู้สึกให้ผู้ฟังได้เกิดใหม่
/
Check this out
/
Check this out
/
Check this out
/
Check this out
/
Check this out
/
Check This Out
We use cookies, localStorage and other technologies (collectively, "cookies") to recognise your browser or device, learn more about your interests, and provide you with essential features and services and for additional purposes. ( see details )