“ครั้งแรกที่ทำให้ผมรู้จักกับเพลง “ฮิปฮอป” ก็น่าจะเป็นตอนเด็กๆ ที่ชอบตามพ่อไปร้านขายซีดี ผมได้เห็นอัลบั้มเพลงที่มีปกดีไซน์สวยๆ กราฟฟิตี้แปลกๆ เยอะมาก แล้วก็ลองซื้อกลับมาฟังทั้งที่ไม่รู้ว่าเพลงฮิปฮอปเป็นยังไง คือซื้อจากหน้าปก แต่พอฟังแล้วก็ชอบเลย ก็เลยเริ่มศึกษาเกี่ยวกับฮิปฮอปคัลเจอร์มาเรื่อยๆ จนได้รู้ว่ามีโปรดิวเซอร์คนหนึ่ง ชื่อ Dr.Dre เป็นโปรดิวเซอร์ เป็น Beatmaker ที่ทำงานให้กับศิลปินฮิปฮอปชั้นนำหลายคนในยุคนั้น ซึ่งผมรู้สึกว่าเขาเจ๋ง และอินสไปร์ผมมาก

“หลังจากที่ผมเรียนจบจากแคนาดา สาขาภาพยนตร์ ก็กลับมาทำงานไทยในสายงานที่เรียนมา พอมีเวลาว่างผมก็จะหมกมุ่นกับสิ่งที่เราสนใจก็คือเพลงฮิปฮอป ศึกษาการทำเพลงด้วยตัวเองจากยูทูบ จนได้ไปเจอพี่หลุยส์ Rap is Now ซึ่งก็พาไปรู้จักพี่กอล์ฟ F.HERO ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมได้ทำเพลงในฐานะโปรดิวเซอร์คือทำเพลงให้พี่กอล์ฟ F.HERO ครับ”

“ผมมองว่าโปรดิวเซอร์ก็เหมือนนักวิทยาศาสตร์นะ สตูดิโอก็คือห้องแล็บฯ เรื่องเสียงนั้นสำคัญมาก เราจะได้ยินรายละเอียดที่แตกต่างมากกว่าคนอื่น อย่างเวลาทำงานเสร็จ มันต้องเช็ค Preferences ของเพลง ผมจึงจำเป็นต้องใช้หูฟังดีๆ ที่ให้เสียงแบบ High Resolution Audio ที่จะทำให้ผมฟังมิกซ์นั้น ๆ ได้อย่างถูกต้อง ซึ่งมันจำเป็นกับอาชีพผมมากๆ”

“แต่บางสถานการณ์ ผมอาจจะต้องเช็คคุณภาพเสียงของเพลงที่ทำเสร็จแล้วนอกสตูดิโอ ไม่ว่าจะที่บ้าน ในรถ หรือแม้แต่ในที่สาธารณะ และหูฟังรุ่น WH-1000XM3 ของ Sony ถือว่าตอบโจทย์กับอาชีพของผมนะ มันสามารถปรับแต่ง Equalizer ได้หลากหลายผ่านแอปฯ ที่สำคัญมีระบบ HD Noise Cancelling ที่ตัดเสียงรบกวนช่วยให้มีสมาธิเวลาเช็คเพลงอีกด้วยโคตร Lit บอกเลย”

จากอัลบั้ม "A Man of Smile" สู่ "Singing with Smile" ของนภ พรชำนิ

หลังจากอัลบั้มเดี่ยวชุดแรกของนภ พรชำนิ “A Man of Smile” ในปี 2005 จนถึงตอนนี้ก็เป็นเวลากว่า 15 ปีแล้ว ที่แฟนเพลงเฝ้ารอว่าเมื่อไหร่จะได้ฟังอัลบั้มเพลงใหม่กับเสียงร้องนุ่มๆ อบอุ่นๆ ของศิลปินโปรดคนนี้อีก กว่า 25 ปีบนเส้นทางนักร้อง นักแต่งเพลง จนมาถึงผู้ร่วมก่อตั้ง LIFEis นั้น ในวันนี้นภ พรชำนิ ไม่ใช่แค่ผู้ชายที่ทำเพลงด้วยความสุขและรอยยิ้มเท่านั้น แต่เติบโตเป็น “Singing with Smile” หรือผู้ชายที่มีความสุขกับการร้องเพลง ให้คนฟังได้ยิ้มตาม ผ่านอัลบั้มพิเศษใหม่ที่เขากำลังทำเพลงอยู่และคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปีนี้

“เพลงสำหรับผมมันอยู่ในโหมดของการส่งพลัง และเติมพลังให้กับคนฟัง ไม่ใช่เพื่อความสนุกสนานอย่างเดียว ผมอยากให้คนฟังเกิดแรงบันดาลใจ มีความสุข มีรอยยิ้มให้แก่กันอย่างจริงใจ โดยไม่มีแบ่งกั้นชนชั้น อายุ หรือยุค ดังนั้นอัลบั้ม Singing with Smile จะเป็นแนวเพลงแจ๊ซ ที่เป็นเพราะสำหรับทุกคน ทุกอายุ ทุกความเข้าใจ ทุกภาษา ทุกการศึกษา และทุกอาชีพฟังได้หมดครับ"

“ดังนั้นแรงบันดาลใจในการแต่งเพลงใหม่ครั้งนี้จะแตกต่างออกไป ผมอยากให้คนฟังได้ประโยชน์จากเพลง ผมเชื่อว่าเพลงของผมสามารถช่วยให้สังคมเปิดให้แก่กันได้มากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ ก็สนุกดีนะ เพราะโจทย์ที่เราเขียนในแต่ละเพลง มันต้องไม่เอาเปรียบ ไม่ดูถูก ไม่ทำให้สังคมแย่ลง เป็นเรื่องของความรู้สึก ความทรงจำ และความสัมพันธ์ที่มีต่อกันที่ไม่ใช่ Take advantage กัน ผมมองว่าเพลงให้เรามีทัศนคติที่ดี และเป็นประตูที่เปิดไปสู่การเข้าใจตนเอง จนถึงเข้าใจคนอื่นมากขึ้น”

“อย่างผมที่ชอบฟังเพลงตั้งแต่เด็ก จนได้มาเป็นศิลปิน นักแต่งเพลง ได้พบความสุขเวลาขึ้นเวทีร้องเพลง ได้ส่งพลังและเติมพลังให้กับคนฟัง แล้วยังได้พบว่าตัวเองเป็น Big Fan เลย Sony มาตั้งแต่เด็ก จำได้ว่าหูฟังตัวแรกของผมที่ใช้ช่วงป.2-3 ก็เป็น Sony Walkman จนตอนนี้หูฟังทุกรุ่นของผมก็เป็น Sony รวมถึงรุ่นล่าสุด WH-1000XM3 ด้วย ที่ผมใช้สำหรับฟังเสียงมิกซ์ต่างๆ หรือใช้สำหรับเดินทาง เพราะเป็นรุ่นที่เด่นด้านตัดเสียงรบกวน น้ำหนักก็เบา แถมยังเป็น Wireless ที่สามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ฟังเพลง และมือถือของเราได้ ด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีของ Sony มักไปไกลกว่าแบรนด์อื่นอยู่เสมอ ทำให้ผมก็ยังปักหลักอยู่กับ Sony เหมือนเดิมครับ”

“จากนั้นให้เพลงทำหน้าที่ของมัน แต่เพลงจะมีปฏิกิริยายังไงกับตัวเราเอง ไม่ว่าจะกระตุ้น ผ่อนคลาย บรรเทา หรือเยียวยา เราต้องเป็นคนทดลองเองจนกว่าได้เจอทำนองที่เหมาะสมกับตัวเรา อาจจะฟังเสียงเทศน์ เสียงนกร้อง น้ำไหล หรือเสียงอะไรก็ได้ ที่สามารถเช่ือมโยงกับจิตวิญญาณของเราได้เอง ต้องลองหาเสียงที่คุณชอบครับ”

แฟชั่น ดนตรี และเมจิคโมเมนต์ของ บู้ ธนันต์

หลังจากปลุกปั้น Rompboy ให้เป็นแบรนด์รองเท้าขวัญใจคนคูลที่ขายหมดเร็วทุกรุ่น ภาพจำช่วงหลังของ บู้-ธนันต์ บุญญธนาภิวัฒน์ จึงมาทางนักธุรกิจมากกว่าบทบาทของศิลปินมือเบสวง Slur ที่เราเคยรู้จัก ในขณะที่การทำแบรนด์กลายเป็นอาชีพหลักที่มีสัดส่วนน้ำหนักมากกว่าการฟังเพลง แต่ดนตรีก็ยังคงทำหน้าที่หลักในการเติมเต็มจิตวิญญาณ และอยู่ในทุกโมเม้นต์ชีวิตในแบบที่ไม่อาจละทิ้งไปได้ "มันไม่มีเหตุผลเลยที่ผมจะเลิกทำวง Slur เพราะผมมี Rompboy ทุกวันนี้ได้ก็เพราะดนตรี ตอนนี้ผมยังไม่รู้เลยว่าการเล่นดนตรีมันเป็นงานอดิเรกจริงๆ หรือเปล่า" หลายครั้งที่เพลงเข้ามาฟังอยู่ในเมมโมรี่จนคลายไม่ออก ในแบบที่ศิลปินและคนฟังเพลงอย่างเขายังเซอร์ไพรสต์ว่า “เฮ้ยนี่แหละ! โคตรเป็นเมจิคของการฟังเพลง”

“3 ปีที่แล้วผมไปดูคอนเสิร์ต The Strokes ที่ Governors Ball ในนิวยอร์ก จำได้ว่าเพลง Threat of Joy มันขึ้นมา ซึ่งผมเคยเพลงมาสเตอร์และ MV มาก่อนนะ ก็รู้สึกเฉยๆ แต่เมื่อวินาทีนั้นทุกอย่างมันถูกที่ ถูกเวลา ซาวน์ถูกต้อง บรรยากาศผู้คนถูกต้อง ผมนี่น้ำตาอาบแก้มเลยนะ ทำให้เป็นภาพจำเลยว่าเฮ้ยเนี่ยหรอ คือเมจิคของการฟังเพลง หลังจากนั้นทุกครั้งเวลาที่ผมใส่หูฟัง ฟังเพลง Threat of Joy ผมก็จะขนลุกและร้องไห้อีกแล้ว”

“อีกครั้งก็กลางวันหนึ่งวันที่ฝนตก ผมกำลังฟังเพลงหนึ่งของ Cocteau Twins อยู่ จู่ๆ ก็รู้สึกว่าทุกอย่างมันช่างเหมาะเจาะเป็นใจมาก สักพักน้ำตาผมก็ไหลลงมา หลังจากนั้นทุกครั้งเวลาผมฟังเพลงนั้น หรือเกิดเหตุการณ์คล้ายๆ แบบนั้นเกิดขึ้นอีกรอบอย่าง เพลงนั้นก็จะกลับมาวนเวียนในหัวเราถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้เปิดฟังนั้นอยู่สักหน่อย ดังนั้นถ้าเราฟังเพลงบ่อยๆ แล้วฟังถูกจังหวะ ถูกอุณหภูมิ ถูกสถานการณ์ หรืออะไรก็ตามแต่ ผมว่าเพลงเพลงนั้นจะเป็นเหมือนเมมโมรี่หนึ่งที่ฝังกับเราเอาไว้ แล้วจะเป็นความทรงจำที่เราคลายไม่ออกเลย โคตรเป็นเมจิคเลยสำหรับผม”

“แล้วผมรู้สึกว่าดนตรีไม่ได้ให้แค่ความเพราะ หรือเนื้อหาของเพลงอย่างเดียว แต่ผมมองว่า Performance ของศิลปินบนเวทีมันบอกอะไรหลายๆ อย่างในแบบที่นายแบบ หรือ Look Book ให้เราไม่ได้ มันเป็นความเรียลบางอย่างอยู่ ทุกวันนี้แบรนด์ Rompboy เลยเอานักดนตรีอินดี้ในไทยมาถ่ายแบบกับเรา เพราะนักดนตรีที่มีความเท่แบบไม่ต้องพยายาม และมีสไตล์ของตัวเอง”

เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย สำหรับศิลปินที่เป็นเจ้าของแบรนด์แฟชั่นด้วย จึงลิงค์กับดนตรีกันจนแยกไม่ออก "หูฟังเป็นอะไรที่ผมยอมลงทุนมากที่สุดในชีวิตเลย อย่างเสื้อผ้า รองเท้า หรือแม้แต่เครื่องดนตรีของผม ผมยังมีเพดานนะ แต่ถ้าเป็นหูฟังเนี่ย เท่าไหร่ก็ว่ากัน จัดเต็มเพราะผมรู้สึกว่าหูฟังเป็นสิ่งเดียวที่ศิลปินสามารถสื่อสารกับเราได้เต็มที่ผ่านการฟังเพลงของเขา เวลาเราฟังเพลงจากหูฟัง มันทำให้เราตัดขาดจากโลกภายนอก และเราอยู่กับเพลงจริงๆ แต่บางทีหูฟังทั่วไปก็จะจับได้แค่เสียงเบส กีต้าร์ กลอง แต่ถ้าหูฟังที่สามารถตัดเสียงรบกวนรอบข้างได้จริงๆ อย่าง WH-1000XM3 จะได้ยินทุกเม็ด ทุกรายละเอียดของเสียงจริงๆ ที่ส่งผลต่ออารมณ์ของเพลง คือถ้าขาดไป เฮ้ย มันสื่ออารมณ์เพลงได้ไม่ชัดนะ อีกอย่างยังสามารถตัดเสียง Ambiance รบกวนด้านนอกไม่ให้เข้ามาตีกับเพลงที่เราฟังได้ดีมากๆ และผมชอบมากที่มีโหมด Equalizer ที่สามารถ Customize เสียงเวลาฟังผ่านหูฟังได้ด้วย เพราะอย่างบางเพลงมิกซ์เสียงมาไม่ดี เราฟังแล้วหงุดหงิด ก็ยังปรับแต่งเสียงได้”

ส่วนใครที่เป็นสาวกวง Slur เตรียมฟัง Single ใหม่ อัลบั้มที่ 6 ของพวกเขาที่จะออกช่วงเดือนมีนาคมนี้ ผ่านหูฟังคุณภาพของ Sony รุ่น WH-1000XM3 ก็จะได้อารมณ์เต็มที่ไปอีก

สุนทรียะกับหลากจังหวะการใช้ชีวิตของผ้าป่าน สิริมา

หลายปีที่ผ่านมา ผ้าป่าน สิริมา ไชยปรีชาวิทย์ สาวร่างเล็กคนนี้ได้พิสูจน์ความสามารถในหลากบทบาทการทำงาน ที่เกี่ยวข้องกับศิลปะและความคิดสร้างสรรค์ ไม่ว่าจะเป็น อดีตผู้จัดการแกลเลอรี่ ผู้ดูแลพื้นที่สร้างสรรค์ทางศิลปะ และบรรณาธิการนิตยสาร จนทำให้เราเกือบลืมภาพพิธีกรรายการสตรอเบอรี่ชีสเค้กวัยใสในอดีตไปแล้ว ส่วนปัจจุบันผ้าป่านทำงานเป็นทั้งช่างภาพ, Curator, Project Manager จนถึงเป็น Representativeให้กับกลุ่มศิลปินที่มีชื่อว่า Asian Spiritual Playground (ASP)

โดยโปรเจกท์ล่าสุดที่ผ้าป่านกำลังรันอยู่ตอนนี้คือ Arts Against Extinction ที่ชักชวนศิลปินไทย 50 คนมาจัดแสดงผลงานร่วมกัน เพื่อรณรงค์เรื่องสัตว์ป่า “ตอนนี้เราอยู่ในช่วงที่โลกกำลังเข้าไปสู่การสูญพันธุ์ครั้งใหม่เป็นครั้งที่ 6 เหมือนกับการสูญพันธุ์ครั้งสุดท้ายในยุคไดโนเสาร์เลยค่ะ เพราะสัตว์ป่าหลายสายพันธุ์สูญหายไปเยอะมาก ทำให้เราอยากจุดประกายสร้างความตระหนักผ่านงานศิลปะ ให้คนหันมาสนใจเรื่องนี้มากขึ้น”

การได้ทำงานกับศิลปิน หรือในหัวข้อเกี่ยวกับศิลปะ ทำให้เธอเปิดรับแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตมาจากสิ่งต่างๆ รอบตัว ไม่ว่าจะเป็นการสนทนากับผู้คน การชมงานศิลปะ การดูหนัง จนถึงฟังเพลง "สำหรับป่านทั้งศิลปะทางตา ศิลปะทางหู และศิลปะต่างๆ จะทำให้ใจเราแข็งแรงมากขึ้น และมีพลังในการทำงานและสร้างสรรค์สิ่งอื่นได้ อย่างถ้าเราสามารถมองเห็นความงามในเสียงเพลง และแม้แต่เสียงรอบตัวได้ ป่านว่ามันคือสุนทรียะของชีวิตเลยนะ”

"ป่านชอบฟังนักวิ่งระดับโลกอย่างเอลีอุด คิปโชเก้ มาพูดอยู่ในหูเราเพื่อบิวต์ระหว่างวิ่งออกกำลังกายระทางไกล ไม่ก็ฟังเพลงคลาสสิคที่ทำให้เราเห็นวิชวลระหว่างวิ่งเพื่อส่งพลังให้เรา หรือทุกครั้งที่มีเวลาออกไปเดินถ่ายรูปสตรีท ก็จะฟังเพลงตลอดเวลา แต่นิสัยการฟังเพลงของป่านคือจะเปิดฟังเพลงเดียววนอยู่อย่างนั้น ตอนทริปแรกที่ป่านเดินถ่ายรูปที่นิวยอร์ก ป่านฟังเพลงชื่อ ON Melancholy Hill ของ Gorillaz อยู่เพลงเดียวตลอดหนึ่งอาทิตย์เลยนะ”

“เวลาเราฟังเพลงเดิมไปเรื่อยๆ สักพักเราจะไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ของมัน แต่มันจะกลายเป็นจังหวะการเดิน จังหวะการมอง จังหวะการหายใจของเราได้โดยไม่รู้ตัว เมื่อเราฟังเพลงที่ใช่กับโมเมนต์นั้นจริงๆ แล้ว เพราะสำหรับป่านมันคือการทำสมาธิอย่างหนึ่งได้เลย"

"ป่านเวลาทำงานต้องติดต่อสื่อสารกับคนอื่นอยู่ตลอดเวลาแบบนี้ อีกมุมหนึ่งป่านเป็นคนที่ต้องการความเป็นส่วนตัว และสุนทรียะในการใช้ชีวิตให้กับตัวเองด้วย ทำให้ป่านชอบใช้หูฟัง WF-1000XM3 ของ Sony เพราะตอบโจทย์ไม่จะฟังเพลง รับโทรศัพท์ หรือคุยกับคนรองข้างก็ใช้งานได้โดยไม่ต้องถอดหูฟัง แค่ทัชตรงหูฟังเท่านั้น ก็กลับสู่โลกภายนอกได้ทันที ยิ่งเแบตเตอรี่ยาวๆ นี่อยู่ติดตัวกับป่านไปได้ทุกที่เลยค่ะ”

"ไม่ต้องไปฟังเสียงใคร นอกจากเสียงตัวเอง" แพรว พัดชา

แพรว พัดชา กิจชัยเจริญ ผู้หญิงลุคเท่กับผมทรงสกินเฮด ที่หลายคนอาจคุ้นหน้าค่าตากับบท พิงค์ ในภาพยนตร์เรื่องฮาวทูทิ้ง...ทิ้งอย่างไรให้ไม่เหลือเธอ ซึ่งถือเป็นการชิมลางงานแสดงครั้งแรกของช่างภาพสาวคนนี้หลังจากกลับมาจากนิวยอร์ก แต่ก็ทำให้แพรวเป็นที่รู้จักมากขึ้น

“งานแสดงถือเป็นประสบการณ์ใหม่ ที่ครั้งนี้เราทำได้เพราะบทไม่ได้ไกลตัวมาก และไม่ได้ลึกมาก แต่ชอบที่สุดคือเวลาอยู่ในกองถ่าย เพราะเรามาจากสายถ่ายภาพนิ่ง พอได้เห็นการทำงานของสายวิดีโอด้วยก็สนุกมาก”

แพรวจบระดับปริญญาตรีจากคณะมัณฑนศิลป์ สาขาออกแบบนิเทศศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ก่อนจะไปเรียนต่อต่อที่ International Center of Photography (ICP) ที่นิวยอร์ก ทำให้สไตล์ภาพถ่ายของแพรวจะมีเอกลักษณ์ในการนำความเป็นกราฟิกเข้ามาผสมในงานภาพถ่ายคอมเมอร์เชียล อย่างงาน Food Shot และ Still Life

“แต่ถ้าเป็นผลงานส่วนตัว แพรวชอบใช้กล้องฟิล์มถ่าย ซึ่งก็มีผลงานที่จัดแสดงไปเมื่อปีที่แล้ว อย่าง 214 (b) เป็นเซ็ตภาพถ่ายระหว่างทางโร้ดทริปกว่าครึ่งทวีปอเมริกา แต่จริงๆ โปรเจกท์นี้ยังไม่จบ เพราะแพรววางแผนไว้ว่าอีกสัก 10 ค่อยจบก็ได้ ซึ่งแพรวยังต้องกลับไปอเมริกาอีก ส่วนโปรเจกท์ส่วนตัวล่าสุดที่ทำอยู่ตอนนี้คือ Cookbook อาม่า นำเสนอภาพถ่ายที่เป็นเรื่องราวของอาม่า และอาหาร ซึ่งเป็นโปรเจกท์ที่ทำให้ได้ใช้เวลากับอาม่า และสนิทกับอาม่ามากขึ้น”

“ช่วงนี้เวลาทำงานชอบฟังเพลง Lo-Fi Hiphop มาก โดยปล่อยให้เพลงมันไหลไปเป็น Ambiance ที่เราไม่ต้องโฟกัสกับมันมาก แต่ก็ยังเสริม Vibes หรือมู้ดให้มันดีขึ้น และบางครั้งเราก็ไม่ต้องไปฟังเสียงใคร นอกจากเสียงตัวเอง โดยเฉพาะเวลาที่ได้ทำงานส่วนตัวที่ตอบสนองความเป็นเรา และเติมความสุขให้กับเรา”

“เหมือนเวลาได้ฟังเพลงที่ดี กับหูฟังดีๆ ที่ช่วยกันเสียงรบกวนของรอบข้างได้ อย่าง WF-1000XM3 ของ SONY ทำให้เราได้อยู่กับตัวเอง อยู่กับเพลงที่ตัวเองชอบคนเดียว ที่เราเลือกแล้วว่ามันเป็นสไตล์เรา คนอื่นจะไม่ชอบสไตล์เราก็ไม่เป็นไร ไม่ต้องได้ยินเสียงอื่นรบกวนแทรก เหมือนกับการทำงานโปรเจกท์ส่วนตัวที่เราไม่ต้องไปฟังเสียงใครนอกจากตัวเราเอง”

SIR POPPA LOT แรปเปอร์สไตล์จัดจ้านกับจังหวะที่แตกต่าง

ป๊อบ อภิวัฒน์ ชินอักษร หรือวงการเพลงฮิปฮอปรู้จักกันในฉายา “Sir Poppa Lot” หนึ่งในสมาชิกวง JsR และได้เปิดตัวเป็นหนึ่งใน PD รายการ Show Me The Money Season 2 ด้วย ย้อนหลังประวัติของแรพเปอร์สไตล์จัดจ้านคนนี้นั้น เขาเริ่มต้นสนใจเพลงฮิปฮอปมาตั้งสมัยมัธยมปลาย โดยตั้งวงดนตรีกับเพื่อน (ป๊อบเป็นมือกลอง) ก่อนเริ่มทำเพลงแต่งเพลงแนวฮิปฮอปเองตั้งแต่ตอนอายุ 17 ปี (ช่วงปี 2005-2006) แต่หลังจากจบปริญญาตรี คณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิศวกรรมไฟฟ้า มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เขาเดินสายทำงานเป็นวิศวกรอยู่ช่วงหนึ่ง ก่อนจะได้คำตอบในชีวิตว่าเขาไม่ได้เกิดมาเป็นวิศวะ แต่เหมาะจะเป็นคนทำเพลงมากกว่า

“ถ้าถามว่าทำไมชอบเพลงฮิปฮอป น่าจะด้วยนิสัยส่วนตัวที่ชอบอะไรไม่ค่อยเหมือนคนอื่น ไม่ว่าจะเรื่องความคิด และการแต่งตัว ยกตัวอย่าง เขาใส่เสื้อตัวเล็กเราใส่เสื้อตัวใหญ่ เขาไปซ้ายเราจะไปขวา เรามันแกะดำอะ และเป็นคนเป็นมีคำถามเยอะมาก ว่า ทำไมต้องไปซ้าย ขวาไม่ได้เหรอ ก็จะเลือกเลนที่คนอื่นไม่ค่อยเดิน แล้วเนเจอร์ของฮิปฮอปมันมีความแตกต่าง มีความขบถอยู่แล้ว”

“ความที่ผมตีกลองมาก่อนก็จะรู้เรื่อง Rhythm ทำให้เป็นแรปเปอร์ที่แม่นจังหวะ และเข้าใจเรื่อง Timing ได้ดี ทำให้ได้เปรียบเรื่องของการแร็ป สามารถเปลี่ยนสแนร์ เบส ดรัม มาเป็นคำแทน หรือใช้เทคนิค Paradiddle (ตีไม่ลงจังหวะ) กับการแร็ปได้ เมื่อเรามีพื้นฐานที่ดีก็ทำให้มีลูกเล่นในการแร็ปเยอะกว่าคนอื่น และมาประยุกต์ใช้เป็นลายเซ็นของตัวเองได้”

“ส่วนเรื่องเทคโนโลยีในการทำเพลงก็เปลี่ยนไปเรื่อยตามยุคสมัยครับ เมื่อก่อนยังอัดเพลงในตู้เสื้อผ้าอยู่เลย เพราะเคยไปฟังพี่ๆ วง Thaitanium เขาบอกอัลบั้ม R.A.S. ก็อัดเพลงในตู้เสื้อผ้าเพราะมันสามารถบล็อกเสียงได้ ผมเลยลองทำตามดู เฮ้ยมันก็อัดได้นี้หว่า แต่พอโตขึ้น เทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป มันก็มีอุปกรณ์หลายๆ อย่างที่อัพเกรดขึ้น อย่างหูฟังก็ด้วย” “ในขณะที่คนอื่นอาจจะฟังเพลงเพื่อสุนทรียภาพ ความผ่อนคลาย แต่สำหรับศิลปินหรือคนทำเพลงอย่างผม อาจต้องฟังลงลึกไปถึงรายละเอียดของเพลง ดันั้นหูฟังที่ผมเลือกเลยต้องมีคุณภาพที่ฟังรายละเอียดต่างๆ ของเพลง และได้ยินย่านเสียงทุกอย่างได้ชัดขึ้น ซึ่งถ้าเป็นหูฟังที่ดีอย่าง WH-1000XM3 นอกจากจะได้ยินทุกย่านเสียงอย่างชัดเจนแล้ว การตัดเสียงรบกวนรอบข้างทำได้ดีมากๆ ทำให้สามารถฟังเพื่อครีเอทงานได้ทุกสถานการณ์ หูฟังที่ดีจึงสำคัญมากๆ ในการฟังเพื่อคิดงาน ครีเอทงาน หรือหาแรงบันดาลใจในการทำเพลงของผม”

มู้ดเพลงกับแรงบันดาลใจสร้างสรรค์ของขวัญตา ชุณหะวัณ

ขวัญตา ชุณหะวัณ นางแบบลุคเท่คาแรคเตอร์จัดจ้านที่เคยมีผลงานในวงการมาแล้วทั้งงานถ่ายแบบ งานโฆษณา และมิวสิกวิดีโอ ล่าสุดกำลังหันมาโฟกัสกับ Ratchakru Residence ธุรกิจที่ทำร่วมกับครอบครัว ที่เปลี่ยนบ้านหลังใหญ่ของอดีตนายกรัฐมนตรีของไทย คุณชาติชาย ชุณหะวัณ ซึ่งเป็นคุณปู่ของเธอ ให้เป็นสถานที่จัดงานแต่งงานและจัดอีเวนต์ต่างๆ ในบรรยากาศโออ่า หรูหรา และคลาสสิค

“ความสนใจตอนนี้ คงจะเป็นเรื่องการเมืองมั้งคะ แต่ก็รู้สึกว่าด้วยเศรษฐกิจ และสถานการณ์ต่างๆ ก็ทำให้เราเครียดมาพออยู่แล้ว เลยต้องหาตัวช่วยที่ทำให้เราตัดออกจากโลกแห่งความจริงได้บ้าง ทำให้เราได้มีช่วงเวลาครีเอทีฟบ้าง ก็จะทำให้เราสร้างสรรค์ผลงานออกมาได้ดี”

และเพลงก็เป็นตัวช่วยสำคัญนั้นในการสร้างแรงบันดาลใจหรือสร้างมู้ดสร้างสรรค์ให้กับขวัญตา “เราจบคณะศิลปะและการออกแบบ สาขาวิชาการออกแบบนิเทศศิลป์ มหาวิทยาลัยรังสิต ทำให้เป็นคนชอบศิลปะ ชอบวาดภาพอยู่แล้ว แล้วงานศิลปะที่ทำก็จะเปลี่ยนไปตามมู้ดเพลงที่ฟังได้จริงๆ ยกตัวอย่าง วันนี้จะทำงานวาดภาพประกอบมาโทนสดใส วันนั้นก็จะฟังเพลงเกาหลีแบ๊วๆ หรืออย่างล่าสุดมีโอกาสได้ออกแบบลายผ้าให้กับแบรนด์หนึ่งที่คนละสไตล์ ก็จะฟังเพลงอีกแนวเลยค่ะ”

“เป็นคนฟังเพลงในทุกแชปเตอร์ของชีวิตเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าจะตอนตื่นนอน อาบน้ำ กินข้าว หรือทำงาน คือจะไม่ปล่อยให้เป็นบรรยากาศเงียบๆ เพราะเพลงมันช่วย Healing mood ในวันๆ หนึ่งของเราได้มาก ต่อให้เราเจอกับบรรยากาศรอบด้านที่แย่มากๆ ทั้งเสียงรถ มลภาวะ เสียงคนพลุกพล่าน แค่ใส่หูฟัง WF-1000XM3 ที่ช่วยตัดเสียงรอบข้างออก แล้วฟังเพลงที่ชอบ ก็รู้สึกว่าเหมือนเราได้อยู่อีกโลกหนึ่งไปเลย เพลงมันทำให้เรามีจินตนาการได้เพิ่มมากขึ้นมากๆ ค่ะ”

“ถึงลุคการแต่งตัวจะดูโหด เพราะอินสปายในการแต่งตัวของเราจะมาจากเพลงร็อค สายอีโม และลุคดูโหดๆ แต่ยิ่งโตขึ้นก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเราต้องเปิดกว้างมากขึ้น ทำให้ฟังเพลงหลากหลายแนวมากค่ะ อย่างเพลงพี่เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์ก็ฟังนะคะ ยิ่งถ้าวันไหนเครียดๆ แค่ใส่หูฟังแล้วฟังเพลงที่ชอบอยู่คนเดียวก็ช่วยบำบัดเราได้แล้ว”

เพลงฟังสนุกในมุมมองใหม่ของ ปันปัน ยีย์ยีย์

หลังจากปล่อยเอ็มวีซิงเกิ้ลแรก “สวัสดีค่ะ” กับเนื้อร้องที่ตั้งใจแต่งขึ้นโดยใช้คำว่า “คะ, ค่ะ” ผิดตลอดทั้งเพลง จนทำให้ท่อนร้องอย่าง "ทานไรยังค่ะ, แจ้งวัฒนะคะ, ขอโทษคะ" ตามมาวนเวียนในหัวคนฟังด้วยนั้น ชื่อ "PANPAN YEEYEE (ปันปัน ยีย์ยีย์)" ก็กลายเป็นศิลปินหน้าใหม่ที่สร้างสีสันให้กับวงการเพลง ด้วยแนวเพลง Synth-pop ที่ฟังสนุก สดใส พร้อมมุมมองแปลกใหม่ในการนำเสนอ

รสิกา สายแสง หรือปัน เริ่มรวมวงดนตรีกับเพื่อนตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมในตำแหน่งมือเบสของวง The Ambulance ที่เคยขึ้นเวทีประกวด Hotwave Music Awards 2017 มาแล้ว ก่อนมาเป็นศิลปินเต็มตัวในชื่อ PANPAN YEEYEE (ปันปัน ยีย์ยีย์) พร้อมออกอัลบั้มแรก “ศูนย์บัญชาการยูนิคอร์น” ที่เธอทั้งแต่งเนื้อร้องและทำนองเอง ภายใต้ค่าย LABo ในเครือ LOVEiS

“ปันอยากเล่นดนตรีมาตั้งแต่เด็กแล้วค่ะ เพราะชอบการ์ตูนญี่ปุ่นเรื่อง K-On! เป็นเรื่องราวของผู้หญิงเล่นดนตรี จนอยู่ม.1 เลยได้ทำวงดนตรีกับเพื่อน ระหว่างนั้นก็ทำเพลงโปรเจกท์ของตัวเองกับแนวเพลง Synth-pop ด้วย เป็นที่มาเป็นอัลบั้มเพลงนี้ค่ะ”

นอกจากจะมีฝีมือด้านการทำเพลงแล้วนั้น ปันยังเป็นศิลปินวัย 19 ปีที่มีทักษะด้านศิลปะด้วย ยกตัวอย่างในมิวสิกวิดีโอเพลง “สวัสดีค่ะ” ก็มีผลงานอาร์ตเวิร์กที่เธอวาดขึ้นเอง รวมถึงงานออกแบบปกซิงเกิ้ล และโลโก้ PANPAN YEE YEE ด้วย "ตอนนี้ปันเรียนปริญญาตรีอยู่คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สาขาวิชาภาพยนตร์และดิจิทัล สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบังค่ะ ที่ไม่เลือกเรียนด้านดนตรีโดยตรงเลย เพราะกลัวว่าจะมีกรอบของตัวเองค่ะ และจริงๆ แล้วปันยังชอบดูหนังด้วย ทำให้อยากรู้เบื้องหลังการทำภาพยนตร์ด้วย ส่วนเพลงก็ทำควบคู่กันไปค่ะ”

“สำหรับแรงบันดาลใจในการแต่งเพลงของปัน ส่วนมากมาจากเรื่องราวในชีวิตประจำวัน ที่ปันจะจดไว้เหมือนเป็นไดอารี่ แล้วมาบอกเล่าเป็นเพลง ยกตัวอย่างเพลง 'เพลงเร็ว (Fast)' ที่เพิ่งปล่อยมิวสิกวิดีโอออกมา ก็แต่งเนื้อจากความรู้สึกว่าทำไมเสาร์-อาทิตย์มันผ่านไปเร็วจัง โดยใช้เทคนิคการร้องวันจันทร์-วันศุกร์ยาวๆ พอถึงเสาร์-อาทิตย์ก็ร้องสั้นๆ เหมือนว่าแค่กระพริบตาเสาร์-อาทิตย์ก็ผ่านไปแล้ว แต่ก็เป็นเพลงที่ฟังง่ายขึ้นกว่าเดิมค่ะ”

“เวลาที่เราตั้งใจฟังเพลง เราจะได้ยินดีเทลต่างๆ ที่อยู่ในเพลงได้นั้น มันทำให้เรารู้สึกสนุกสุดๆ กับการฟังเพลงขึ้นมาก ปันเลยชอบฟังเพลงผ่านหูฟังมากกว่าผ่านลำโพงค่ะ ยิ่งได้มาลองใช้หูฟัง WH-1000XM3 ของ SONY ที่คุณภาพเสียงชัดแจ๋ว ยิ่งทำให้ได้ยินรายละเอียดในเพลงชัดขึ้น บวกกับนิสัยของปันที่ชอบฟังเพลงแล้วแกะเพลงเอง ไม่ชอบดูคอร์ทเวลาเล่นดนตรีอยู่แล้ว ก็จะอาศัยฟังเพลงเดียวหลายๆ รอบ เพื่อโฟกัสทีละรายละเอียดของเพลง อย่างรอบนี้ฟังเบส รอบนี้ฟังกีตาร์ รอบนี้ฟังเสียง Synth รอบนี้ฟังเสียงร้อง มันทำให้รู้สึกสนุกไปหมด ยิ่งพอปรับโหมดตอนฟังให้เน้นเสียงเบสชัดๆ ยิ่งเพลิน บางครั้งเวลาใกล้จะเล่นคอนเสิร์ต ปันยังเคยเอาเพลงตัวเองมาแกะฟังอีกรอบ เพราะชอบลืมเนื้อเพลงตัวเองก็มีค่ะ (ฮา)”

แฟชั่น ดนตรี กับดีเอ็นเอขบถของ TAKARA WONG

“แฟชั่นกันดนตรี มันอินสปายให้กันและกันตลอด” ฐกร วรรณวงษ์ ครีเอทีฟไดเร็กเตอร์ และผู้ก่อตั้ง TAKARA WONG แบรนด์ไฮสตรีทแฟชั่นสุดขบถที่ได้รับอิทธิพลจากดนตรี และซับคัลเจอร์ทั่วโลกกล่าว นั่นทำให้เราได้เห็นการนำดนตรี อย่างความเป็นร็อค ร็อคแอนด์โรล หรือพังค์บ้าง มาเชื่อมโยงกับสไตล์แฟชั่นของ TAKARA WONG ตั้งแต่คอลเล็คชั่นแรก จนคอลเล็คชั่นล่าสุดที่ได้แรงบันดาลใจหลักมาจากร็อคสตาร์ยุค 70s - 80s

“ผมรู้สึกว่าคาแรคเตอร์ของร็อคสตาร์สมัยก่อนมันชัดเจนมาก คือใช้ชีวิตสุดโต่ง ไม่มีข้อจำกัด และกล้าเปิดเผยตัวตนให้คนอื่นได้เห็น ซึ่งตรงกับ DNA ของเรา ซึ่งมีความมั่นใจในตัวเอง กล้าที่จะแสดงออก และมีเสน่ห์” Trial and Error เป็นคอนเซ็ปต์ของแบรนด์ TAKARA WONG ที่สะท้อนความกล้าที่จะแตกต่าง และกลับสู่ตัวตนที่พ้นจากกฏเกณฑ์ใดๆ

“ถ้าเลือกได้เวลาทำงานผมชอบที่จะอยู่คนเดียวในห้อง เพราะมันเหมือนว่าเราได้อยู่กับตัวเอง และได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ของตัวเองเต็มที่ โดยไม่ต้องมีอะไรมารบกวน ซึ่งการรบกวนไม่ใช่แค่เรื่องของเสียง แต่ยังรวมถึงการมอง การจินตนาการของเราที่ถ้ามีอะไรมารบกวนก็อาจบิดเบือนไปได้ เพราะเวลาผมออกแบบเสื้อผ้าผมจะเห็นสไตล์โททัลลุคตั้งแต่หัวจรดเท้าเลย”

“ก็เหมือนกับเวลาใส่หูฟัง ที่ทำให้เราได้อยู่ในโลกส่วนตัวของเราเอง กับเพลงที่ชอบ ก็จะทำให้เรามีอินเนอร์กับเพลงได้เต็มที่ ผมชอบใช้ WF-1000XM3 ของ SONY ที่ช่วยตัดเสียงรบกวนออกไป ทำให้เราหลุดไปอยู่ในเพลง อย่างเวลาฟังเพลง Live ผ่านโหมดคอนเสิร์ต ก็จะเหมือนเราอยู่ในคอนเสิร์ตนั้นจริงๆ แล้วหลายครั้งที่ผมฟังเพลงแล้วจินตนาการไปถึงสไตล์ของเสื้อผ้าด้วย ดังนั้นไม่ว่าจะทำงานหรือฟังเพลง ผมก็จะมองเห็นภาพออกมาเป็นรูปธรรมได้เลยครับ”

“อีกอย่างนิสัยของผมคือ ทุกอย่างผมเลือกจากดีไซน์ก่อน ผมชอบที่หูฟังรุ่นนี้มีดีไซน์เรียบและโทนสีเข้ากับสไตล์การแต่งตัวของผมที่เน้นคุมโทนขาว เทา ดำได้เหมาะ เรียกได้ว่าคาแรคเตอร์ไปด้วยกันได้ครับ”