LOOKING ON EVERYTHING ?
EXPLORE ON EVERYTHING
การสํารวจสัจธรรมแห่งความว่างเปล่าผ่านงานศิลปะร่วมสมัย โดย สนิทัศน์ ประดิษฐ์ทัศนีย์

สรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวงในโลก ล้วนแล้วแต่เป็นไปตามกฎธรรมชาติเป็นธรรมดา ดังเช่นหลักธรรมในศาสนาพุทธอย่าง ไตรลักษณ์ หรือลักษณะ 3 ประการของสรรพสิ่งทั้งปวง อันได้แก่ “อนิจจตา” หรือ ลักษณะอันไม่เที่ยงแท้ มีการเปลี่ยนแปลงไปตามธรรมดา, “ทุกขตา” หรือลักษณะอันไม่สามารถทนอยู่ในสภาพเดิมได้ตลอดไป มีความเสื่อมสลาย และ “อนัตตา” ลักษณะอันไม่สามารถบังคับให้เป็นไปตามต้องการได้ เช่น ไม่สามารถบังคับให้ชีวิตยืนยาวอยู่ได้ตลอดไป ไม่สามารถบังคับจิตใจหรือตัวตนให้เป็นไปตามความปรารถนา เป็นความไม่ใช่ตัวตน, ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกล้วนแล้วแต่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป เป็นความไม่เที่ยงแท้และความว่างเปล่าอันเป็นธรรมดา ธรรมชาติ

โดยปกติแล้ว การทําความเข้าใจสัจธรรมเช่นนี้ เราต้องศึกษาและปฏิบัติผ่านหลักธรรมทางศาสนา แต่ในบางครั้ง เราก็สามารถทําความเข้าใจกับสัจธรรมเช่นนี้ผ่านงานศิลปะได้ด้วยเช่นกัน ดังเช่นผลงาน ของ สนิทัศน์ ประดิษฐ์ทัศนีย์ ศิลปินชาวกรุงเทพฯ ผู้มีภูมิหลังทางด้านภูมิสถาปัตยกรรม (Landscape architecture) หากแต่เธอมีความสนใจทางด้านศิลปะร่วมสมัย เธอทํางานอยู่บนพรมแดนระหว่างภูมิสถาปัตยกรรมและศิลปะร่วมสมัย ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากบริบททางสังคม การค้นคว้า ทางวัฒนธรรมอันลึกซึ้ง และการสํารวจจิตใจและตัวตนภายในของมนุษย์ ด้วยการเล่นกับรอยต่ออันไร้ตะเข็บของภูมิสถาปัตยกรรมและงานศิลปะร่วมสมัย ทั้งงานศิลปะจัดวาง ประติมากรรม และงานออกแบบภูมิสถาปัตยกรรม
ในนิทรรศการ Landscape of Emptiness ภูมิทัศน์ของความว่างเปล่า สนิทัศน์สํารวจสัจธรรมอันธรรมดาสามัญนี้ ด้วยการสร้างสภาวะของการเข้าสู่ความว่างเปล่า ที่พาผู้ชมเข้าไปสู่เขตแดนของสภาวะแห่งความว่างเปล่า ไร้ตัวตน เพื่อสํารวจสัจธรรมของความไม่เที่ยงแท้ ที่ทุกอย่างล้วนแล้วแต่แตกดับสูญสลายไปจนเหลือแต่ความว่างเปล่า

“ที่มาของนิทรรศการ Landscape of Emptiness เริ่มจากการที่ อาจารย์เต้ (ปรมพร ศิริกุลชยานนท์) กับคุณวัคซีน (กฤษฎา ดุษฎีวนิช) ชวนเรามาแสดงนิทรรศการที่หอศิลป์มหาวิทยาลัยศิลปากร ตั้งแต่ ประมาณต้นเดือนพฤจิกายน ปี 2023 ด้วยความที่งานของเราพูดถึงรูปทรงของที่ว่าง และพื้นที่ที่ทําให้คนได้มีเวลาอยู่กับตัวเอง ได้หยุด ได้คิด แต่พอได้ใช้เวลาคุยกันเรื่อยๆ ความคิดก็เริ่มตกตะกอนว่าเราไม่อยากทําอะไรที่ซ้ำเดิมกับงานที่เราเคยทํางาน ทั้งงานชุด Garden of Silence ที่เราทําในมหกรรมศิลปะไทยแลนด์เบียนนาเล่ เชียงราย หรืองานในนิทรรศการ Liminal Space ที่เราทําที่ noble PLAY ซึ่งเป็นงานในรูปแบบที่เราอยากทํา และได้ทําอย่างเต็มที่และชัดเจนแล้ว อีกอย่างงานที่ผ่านๆ มา เราทําในรูปแบบที่มีปฏิสัมพันธ์กับพื้นที่กลางแจ้ง แต่พื้นที่แสดงงานในหอศิลป์มหาวิทยาลัยศิลปากรนั้นเป็นพื้นที่ภายในอาคาร เราก็คิดว่าเราจะพูดเรื่องอะไรดี? ประจวบกับการที่เราได้ไปปฏิบัติธรรมช่วงปีใหม่ในป่าลึกที่ไม่มีไฟฟ้า น้ําประปา ทําให้เราได้มีเวลาสะท้อนความคิด ได้เขียนเรื่องงานของเราเกี่ยวกับเรื่องพื้นที่ว่าง พอทุกอย่างรวมกันแล้วเกิดความคิดว่าเราอยากหลุดพ้นจากการเป็นรูปทรง มาเป็นสภาวะของความว่าง หรือความเป็น Non-object คืออยากจะพูดถึงความว่างที่ว่างจริงๆ เพราะก่อนหน้านี้เราทํางานเป็นรูปทรงปริมาตรในพื้นที่ว่าง แต่ตอนนี้เราอยากให้คนได้สัมผัสสภาวะความว่างจริงๆ เราก็ค่อยๆ พัฒนางานชุดนี้ขึ้นมา”
แนวคิดแห่งความว่างที่ว่านี้ ถูกถ่ายทอดผ่านผลงานศิลปะจัดวางเฉพาะพื้นที่หลากชิ้นหลายวัสดุและเทคนิคที่ติดตั้งในพื้นที่ของหอศิลป์มหาวิทยาลัยศิลปากร เริ่มต้นด้วยผลงาน Primitive ในพื้นที่ห้อง แสดงงานด้านในสุดภายในชั้นล่างของหอศิลป์ ที่ถมดินจนกองเกือบเต็มพื้นห้อง ราวกับจะแสดงให้เห็นภาพอดีตของพื้นที่แห่งนี้ในยุคบรรพกาล ที่ไม่มีสิ่งก่อสร้างหรือแม้แต่อะไรอยู่เลย นอกจากพื้นดินตะปุ่มตะป่ํา รกร้างว่างเปล่า บนผนังหลังกองดินในห้องแสดงงานยังกรุด้วยกระจกเกรียบ (กระจกเงาที่ใช้กับงานสถาปัตยกรรมไทยประเพณี) ในลักษณะเป็นตารางคล้ายพิกเซล ให้ผู้ชมมองภาพสะท้อนอันแตกพร่าเลือนรางของตัวเองและสภาพแวดล้อมรอบข้าง ราวกับเป็นการจ้องมองภาพอันพร่าเลือนของอดีตในความทรงจําอันรางเลือน และยังเป็นการแสดงถึงความแตกร้าวเสื่อมสลายของตัวตนและสังขารอันไม่เที่ยงแท้ของตัวเอง แต่ในทางกลับกัน ถึงแม้กองดินที่ว่านี้จะเป็นเหมือนซากสังขารของสิ่งมีชีวิตอันเปื่อยย่อยสูญสลาย แต่ภายในก็อาจจะมีสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆ อาศัยอยู่ หรือมีเมล็ดพันธุ์ที่ซุกซ่อนอยู่ในกองดิน หรือที่ล่องลอย ร่วงหล่น หรือติดสอยห้อยตามสิ่งมีชีวิตที่เข้ามาในห้องแสดงงานทางประตูห้องที่เปิดออกไปสู่พื้นที่กลางแจ้งภายนอก และรอวันงอกงามผลิดอกออกใบขึ้นมาก็เป็นได้

“พอเราพูดถึง “ความว่าง” ไม่ได้แปลว่าต้องไม่มีอะไรอยู่เลย ความว่างที่ว่านี้มีอะไรอยู่ แต่เราไม่ยึดติดกับมัน ท่าน ว.วชิรเมธี เคยสอนเราไว้ว่า เหมือนเรามีโทรศัพท์ไอโฟนอยู่เครื่องหนึ่ง พอเราแยกชิ้นส่วนมันออกทั้งหมด มันก็ไม่เรียกว่าไอโฟนแล้ว มันคือสิ่งนี้เพราะเราไปยึดติดกับสิ่งนี้ เราไปตั้งชื่อ เราไปสมมติให้มัน ว่านี่คือสิ่งนั้นสิ่งนี้ คือคนนั้นคนนี้ แต่พอตัวเราเสื่อมสลาย ก็ไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย งานชุดนี้คือการพูดถึงการไม่ยึดมั่นถือมั่น ว่าอะไรเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ ตัวงานเลยจะพูดถึงสภาวะ เราก็เลยพยายามจะผสานเรื่องของประสาทสัมผัส กลิ่น เสียง ความรู้สึก ไม่ใช่ความว่างที่ไม่มีอะไรอยู่เลย เราต้องมีกรอบ มีขอบเขตบางอย่างปรากฏเพื่อให้คนได้เห็นถึงความว่าง ความไม่มีตัวตน อย่างงานที่เป็นดินก็พูดถึงการเกิดและการดับ การเสื่อมสลายที่ทําให้ชีวิตเกิดขึ้นมา หรือกระจกเงาที่ติดเป็นตารางก็เป็นการทําให้เงาสะท้อนไม่ชัดเจน เหมือนถูกทําให้แตกเป็นชิ้นส่วนเล็กๆ เป็นการสลายรูปทรง เพื่อเป็นการตั้งคําถามเกี่ยวกับความไม่เที่ยงของคนและสรรพสิ่งต่างๆ”



ในห้องแสดงงานถัดมา นอกจากจะมีผนังที่กรุด้วยกระจกเกรียบเป็นตารางพิกเซลเช่นเดียวกันแล้ว ยังมีผลงานประติมากรรม A Frog in the Mud ที่ศิลปินนําซากเขียดตะปาดที่เธอบังเอิญพบเจอมาหล่อเป็นทองเหลือง โดยใช้วิธีการหล่อแบบขี้ผึ้งหาย (Lost Wax) หรือการแทนที่ขี้ผึ้ง กระบวนการหล่อโลหะที่มีมาแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ อันเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชนตําบลปะอาว จังหวัดอุบลราชธานี ประติมากรรมเขียดทองเหลืองที่ว่านี้ถูกวางอยู่บนแท่นไม้ทรงสูงยาวที่ถูกเผาจนดํา เกรียม ราวกับเป็นเชิงตะกอนของสิ่งมีชีวิตตัวเล็กจ้อยนี้ก็ไม่ปาน

เมื่อเดินขึ้นไปยังห้องแสดงงานชั้นบนของหอศิลป์ บนผนังข้างบันไดยังมีผลงานจิตรกรรมสื่อผสม Impermanence ที่วาดขึ้นจากขี้เถ้าจากการหล่อทองเหลือง, เศษทองเหลือง, ถ่านผสมดินกับกาว กระถิน และเถ้าถ่านของไม้พาโลซานโต (Palo santo) ไม้หอมศักดิ์สิทธิ์ที่ชนพื้นเมืองในป่าทางอเมริกาใต้ใช้ในพิธีกรรมเพื่อการชําระล้างพลังงานไม่ดีออกจากร่างกายมาแต่โบราณอีกด้วย
โถงกลางห้องแสดงงานชั้นบน มีผลงาน Silence ศิลปะจัดวางที่ใช้กระดิ่งทองเหลืองแขวนห้อยจากเพดาน เรียงรายประกอบกันเป็นรูปทรงคล้ายเจดีย์ทรงระฆังลอยอยู่กลางอากาศอย่างโปร่งเบา ให้ความรู้สึกสงบนิ่ง เหนือเจดีย์มีพิดานไม้ทรงกลมเลียนแบบฝ้าเพดานไม้ทั้งสีสันและลวดลายไม้ระแนง ประดับอย่างแนบเนียนราวกับเป็นส่วนหนึ่งของเพดาน

ผลงานชิ้นนี้ยังทําให้เรานึกถึงผลงานชิ้นโดดเด่นที่ทําให้ชื่อของสนิทัศน์เป็นที่รู้จักในวงกว้างอย่าง เขามอ (Mythical Escapism), 2013 ที่ได้แรงบันดาลใจมาจาก “เขามอ” ภูเขาจําลอง งานภูมิสถาปัตยกรรมไทยโบราณ ที่ถูกตีความออกมาเป็นงานศิลปะร่วมสมัยอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน

“ก่อนหน้านี้เวลาพูดถึงสนิทัศน์ทุกคนชอบพูดถึงงาน เขามอ หลังๆ เรานึกในใจว่าเราอยากระเบิด เขามอ อยากระเบิดตัวเองทิ้ง พอเราเข้าไปอยู่ในป่า เหมือนเราได้สรุปแก่นของความประทับใจในการที่เราได้ไปอยู่ในที่ที่เราได้อยู่กับตัวเองจริงๆ ได้อยู่กับธรรมชาติ เราอยากจะสื่อสารสภาวะที่ว่านี้ออกมาให้คนได้นรับรู้ และสร้างพื้นที่ให้คนได้ใช้ประโยชน์ได้จริง”
ที่น่าสนใจก็คือ ในห้องแสดงงานถัดไปอีกห้อง กลับเป็นห้องอันว่างเปล่า ที่มีแต่แสงสปอตไลต์เพียง หนึ่งดวงสาดส่องออกมา หลายคนอาจคาดไม่ถึงว่าความว่างเปล่าที่ว่านี้นี่แหละ คือผลงานศิลปะจัดวางที่มีชื่อว่า Stardust, or we are... และแสงสปอตไลต์นี่เอง ที่สาดส่องจนทําให้เราเห็นว่าภายในความว่างเปล่าในห้องนี้ หาได้เป็นความว่างเปล่าที่ไม่มีอะไรอยู่เลย หากแต่ประกอบด้วยฝุ่นละออง และอนุภาคจํานวนนับไม่ถ้วนฟุ้งกระจายอยู่ทั่วนั่นเอง นับเป็นการแสดงตัวตนที่ซ่อนอยู่ภายในความว่างเปล่าได้อย่างเหนือชั้นจริงๆ อะไรจริง!


ในห้องถัดไปประกอบด้วยผลงาน Follow the Sun ที่เปิดโอกาสให้ผู้ชมสัมผัสกับบรรยากาศยามเช้า ด้วยการเปิดหน้าต่างให้แสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามา หากแต่กรองแสงให้ละมุนละไมลงด้วยม่านที่ทําจากกระดาษสา และแต่งเติมประสบการณ์ทางประสาทสัมผัสด้วยเสียงที่บันทึกจากสภาพแวดล้อมของธรรมชาติในป่า และกลิ่นที่ให้ความรู้สึกถึงยามเช้าที่สนิทัศน์ออกแบบขึ้นเป็นพิเศษด้วยความช่วยเหลือของศิลปินนักสร้างสรรค์กลิ่นชั้นนําชาวไทย อชิตพล พานทอง
ตามมาด้วยผลงานในห้องถัดมาอย่าง Shadow of Emptiness ที่นําซากใบไม้ย่อยสลาย ขยะ และ วัตถุเก็บตกจํานวนนับไม่ถ้วนมาแปรสภาพเป็นประติมากรรมทองเหลืองหล่อแบบขี้ผึ้งหาย เพื่อสะท้อนร่องรอยและหลักฐานของความเสื่อมสลาย ไม่จีรังยั่งยืนของสรรพสิ่ง โดยจัดวางเป็นรูปทรงกลมล้อมรอบหลอดไฟ คล้ายกับเป็นการจําลองการระเบิดของ ซูเปอร์โนวา หรือ บิ๊กแบง ยังไงยังงั้น

และผลงาน Follow the Moon ภายในห้องที่มืดมิด มองเห็นเพียงจุดแสงรําไรคล้ายแสงดาวบนพื้นห้อง ราวกับจะให้ผู้ชมได้สัมผัสกับประสบการณ์ในการจ้องมองความเวิ้งว้างว่างเปล่าของจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลบนท้องฟ้าเบื้องบนยามราตรี

ปิดท้ายด้วยผลงาน The Present Moment ในพื้นที่ระเบียงด้านหลังของหอศิลป์ ที่เป็นเหมือนขั้วตรงข้ามกับผลงานชิ้นแรกอย่าง Primitive ที่เป็นกระจกเงาพิกเซลที่สะท้อนภาพอดีตอันพร่าเลือน ผลงาน ชิ้นนี้กลับติดกระจกเงาใสกระจ่างเต็มบานบนบานประตู 8 บาน ราวกับจะเปิดโอกาสให้ผู้ชมได้ทบทวนตัวตนจากเงาสะท้อนของตัวเองในปัจจุบันขณะ และไตร่ตรองถึงสิ่งที่เคยพานพบประสบเจอมาในชีวิต
กระจกเงาในผลงานชิ้นนี้ (รวมถึงฝุ่นละอองในผลงาน Stardust, or we are…) ของสนิทัศน์ ยังทำให้เรานึกไปถึงหลักธรรมในสูตรของเว่ยหล่าง คัมภีร์ของศาสนาพุทธนิกายเซน ที่เล่าเรื่องราวของ เว่ยหล่าง พระสังฆปรินายกองค์ที่ 6 ในนิกายเซน ในสมัยที่ยังเป็นศิษย์ในพระสังฆปรินายกองค์เดิม เรื่องของเรื่องก็คือ ในเวลานั้นศิษย์เอกของสังฆปรินายกได้แต่งโศลกที่กล่าวถึงการปฏิบัติเพื่อเข้าถึงหลักธรรมอันเที่ยงแท้และเขียนเอาไว้บนกำแพงทางเดินเอาไว้ว่า
“กายของเราคือต้นโพธิ์ ใจของเราคือกระจกเงาใส เราต้องหมั่นเพียรเช็ดถูโดยระมัดระวัง เพื่อไม่ให้ฝุ่นละอองจับ”
ต่อมาเว่ยหล่างได้อ่านโศลกนี้ และค้นพบว่าการเข้าถึงหลักธรรมอันเที่ยงแท้ที่ถูกต้องควรเป็นดังนี้มากกว่า โดยเขียนเป็นโศลกอีกชิ้นว่า
“ไม่มีทั้งต้นโพธิ์ และกระจกเงาอันใสสะอาด เมื่อทุกสิ่งว่างเปล่าแล้ว ฝุ่นจะลงจับอะไร?”
โศลกนี้แสดงถึงหลักธรรมอันเที่ยงแท้ได้อย่างลึกซึ้งจนทำให้เว่ยหล่างได้เป็นพระสังฆปรินายกองค์ต่อไปในที่สุด
เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ทำให้เราอดคิดไม่ได้ว่า แม้แต่ผลงานศิลปะร่วมสมัยอันแปลกใหม่ที่เดินทางข้ามผ่านเวลามาไกลหลายศตวรรษ ก็อาจทำให้ผู้ชมอย่างเราเข้าถึงและเข้าใจสัจธรรมแห่งความว่างเปล่าเช่นเดียวกับสูตรของเว่ยหล่างได้บ้าง ไม่มากก็น้อย

“งานในนิทรรศการนี้เป็นเหมือนสภาวะปัจจุบันที่เรารู้สึก และอยากทบทวน อยากสื่อสาร ถ้าถามว่าความว่างดีงามอย่างไร เราคิดว่าความว่างทำให้คนได้อยู่กับตัวเอง ได้ทบทวน ได้เรียกสติ ทำให้จิตใจเราเข้มแข็งขึ้น เป็นสภาวะ ณ ปัจจุบันที่เราอยากจะสื่อสารออกมาอย่างจริงใจ”


ในทางกลับกัน ในฐานะผู้ชมที่ติดตามผลงานของเธอมาพอสมควร เราเองก็ตั้งคำถามว่า ในขณะที่นิทรรศการนี้พูดถึงความว่าง แต่ด้วยวิชาชีพของศิลปินที่เป็นสถาปนิก ซึ่งเป็นผู้ออกแบบและสร้างสิ่งก่อสร้างต่างๆ บนพื้นที่ว่าง ก็เป็นเหมือนการถมและทำลายความว่างประการหนึ่ง ซึ่งก็ออกจะเป็นอะไรที่ย้อนแย้งเอาการอยู่เหมือนกัน ซึ่งสนิทัศน์เฉลยความสงสัยนี้ให้เราฟังเป็นการทิ้งท้ายว่า
“อย่างที่บอกว่า ในมุมมองของเรา ความว่าง ไม่ได้แปลว่าไม่มีอะไรเลย การที่เราสร้างบ้านหรือสร้างภูมิทัศน์ขึ้นมา ไม่ได้หมายความว่าเรากำลังถมพื้นที่ว่าง เพราะความว่างที่เราหมายถึงนั้น คือความว่างจากการที่เราไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่ได้ยึดว่านี่ของเรา ไม่ได้ยึดว่าต้องเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้เท่านั้น ไม่ได้ยึดมั่นกับความคิดของเรา การที่เราสร้างสิ่งก่อสร้างต่างๆ ขึ้นมา เพราะชีวิตต้องดำเนินต่อไป ประชากรเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่เราจะสร้างอย่างไรให้คนอยู่กันได้อย่างสมดุล ทั้งผู้อยู่อาศัย เพื่อนบ้าน และสภาพแวดล้อมรอบข้าง เราคิดว่านี่เป็นสิ่งที่จำเป็น เป็นเรื่องของปัจจัย 4 คนต้องการที่อยู่อาศัย ต้องการพื้นที่สวนในการบำบัดจิตใจ เป็นปอดให้เมือง การสัมผัสกับความว่าง ไม่ได้แปลว่าไปเจอความไม่มีอะไรเลย แต่เราสามารถพาคนไปสู่พื้นที่ที่สร้างสภาวะให้เขาได้สัมผัสความว่าง คือการมีเวลาได้หยุดอยู่กับตัวเอง”
โดย สนิทัศน์ ประดิษฐ์ทัศนีย์ และ ภัณฑารักษ์ - กฤษฎา ดุษฎีวนิช
จัดแสดง ณ หอศิลป์มหาวิทยาลัยศิลปากร (วังท่าพระ)
ระหว่างวันที่ 22 มีนาคม – 8 มิถุนายน 2567 วันจันทร์ - เสาร์ เวลา 9.00 น. - 18.00 น.
(ยกเว้นวันอาทิตย์และวันหยุดราชการ) ขอบคุณภาพจากศิลปิน และหอศิลป์มหาวิทยาลัยศิลปากร
Landscape of Emptiness การสํารวจสัจธรรมแห่งความว่างเปล่าผ่าน งานศิลปะร่วมสมัย โดย สนิทัศน์ ประดิษฐ์ทัศนีย์
/
ในอดีตที่ผ่านมา ในแวดวงศิลปะ(กระแสหลัก)ในบ้านเรา มักมีคํากล่าวว่า ศิลปะไม่ควรข้องแวะกับ การเมือง หากแต่ควรเป็นเรื่องของอารมณ์ ความรู้สึก ความงาม สุนทรียะ และจิตวิญญาณภายในอัน ลึกซึ้งมากกว่า แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไม่ว่าจะในยุคสมัยไหน ศิลปะไม่เคยแยกขาดออกจาก การเมืองได้เลย ไม่ว่าจะในยุคโบราณ ที่ศิลปะถูกใช้เป็นเครื่องมือรับใช้ชนชั้นสูงและผู้มีอํานาจ หรือใน ยุคสมัยใหม่ที่ศิลปะถูกใช้เป็นเครื่องมือแสดงออกถึงอุดมการณ์ทางสังคมการเมือง หันมามองในบ้าน เราเอง ก็มีศิลปินไทยหลายคนก็ทํางานศิลปะทางการเมืองอย่างต่อเนื่องยาวนาน ในการสะท้อนและ บันทึกประวัติศาสตร์การเมืองไทยได้อย่างเข้มข้น จริงจัง
/
เหตุการณ์นี้เป็นอุทาหรณ์ให้เรารู้ว่า การก๊อปปี้ก็ไม่ได้เลวร้ายเสมอไป เพราะอย่างน้อยที่สุด ก็ทําให้ เราได้รู้ว่าผลงานต้นฉบับของจริงในช่วงเวลาที่เสร็จสมบูรณ์นั้นมีความดีงามขนาดไหน ไม่ต่างอะไรกับศิลปินร่วมสมัยสัญชาติไทยอย่าง วิชิต นงนวล ที่หลงใหลศรัทธาในผลงานของศิลปิน ระดับปรมาจารย์ในยุคสมัยใหม่ของไทยอย่าง จ่าง แซ่ตั้ง ตั้งแต่ครั้งยังเยาว์ ในวัยของนักเรียน นักศึกษา เรื่อยมาจนเติบโตเป็นศิลปินอาชีพ ความหลงใหลศรัทธาที่ว่าก็ยังไม่จางหาย หากแต่เพิ่มพูน ขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็สุกงอมออกดอกผลเป็นผลงานศิลปะในนิทรรศการ The Grandmaster : After Tang Chang ที่เป็นเสมือนหนึ่งการสร้างบทสนทนากับศิลปินระดับปรมาจารย์ผู้นี้
/
“ยูบาซาโตะ เดินผ่านตามแนวต้นสนขึ้นไปบนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ เพื่อไปก่อสร้างสถูปดิน และมักจะโดน ทีมงานช่างบ่นทุกวันเกี่ยวกับการก่อสร้าง ที่มีเวลาอยู่อย่างจํากัด เขาเพียงได้แต่ตอบไปว่า .. บุญกุศล นําพาและเวลามีเท่านี้ ขอให้ทําสิ่งดีๆ ให้เต็มที่ ต่อสถานที่บนภูเขานี้เถอะ อย่าบ่นไปเลย เราอาจจะ พบกันแค่ประเดี๋ยวเดียว แต่สิ่งเหล่านี้จะอยู่ต่อไปอีกหลายร้อยปี ... ทีมงานทุกคนเพียงส่งรอยยิ้มที่ เหนื่อยล้ากลับมา ก็เพราะต้องทนร้อนทนแดด และเปียกฝนสลับกันไป จากสภาวะโลกเดือด ที่ทุกคน ต่างพูดถึง แต่ก็จะมาจากใคร ก็จากเราเองกันทั้งนั้น ... แม้จะมาทํางานบนภูเขาก็จริง แต่เขาก็ยังคง คิดถึงเหตุการณ์ภัยน้ําท่วมดินโคลนถล่มที่ผ่านมา อีกทั้งความเสียหายต่อข้าวของที่ต้องย้ายออกจาก บ้านเช่าและค่าใช้จ่ายหลังน้ําท่วมที่ค่อนข้างเยอะพอควร และยิ่งในสภาวะซบเซาทางเศรษฐกิจแบบนี้...
/
หากเราเปรียบสงคราม และอาชญากรรมที่กระทำต่อมนุษย์ อย่างการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ การสังหารหมู่ และการล่าอาณานิคม เป็นเหมือนการสร้างบาดแผลและความแตกร้าวต่อมวลมนุษยชาติ ศิลปะก็เป็นหนทางหนึ่งในการเยียวยาซ่อมแซมบาดแผลและความแตกร้าวเหล่านั้น แต่การเยียวยาซ่อมแซมก็ไม่จำเป็นต้องลบเลือนบาดแผลและความแตกร้าวให้สูญหายไปเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น หากแต่การเหลือร่องรอยแผลเป็นและรอยแตกร้าวที่ถูกประสาน ก็เป็นเสมือนเครื่องรำลึกย้ำเตือนว่า สิ่งเหล่านี้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว และไม่ควรปล่อยให้เกิดขึ้นอีกซ้ำเป็นครั้งที่สอง เช่นเดียวกับสิ่งที่ปรากฏในนิทรรศการ “Urgency of Existence” นิทรรศการแสดงเดี่ยวครั้งแรกในเอเชียของ คาแดร์ อัทเทีย (Kader Attia) ศิลปินชาวฝรั่งเศส - แอลจีเรีย ผู้มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ เขาเป็นหัวหอกในการทำงานศิลปะผ่านสื่ออันแตกต่างหลากหลาย ที่นำเสนอแนวคิดหลังอาณานิคม และการปลดแอกอาณานิคม จากมุมมองของตัวเขาเอง ที่มีประสบการณ์ทางตรงและทางอ้อมของผู้ที่เคยถูกกดขี่และถูกกระทำจากลัทธิล่าอาณานิคมในศตวรรษที่ผ่านมา
/
ในช่วงปลายปี 2024 นี้ มีข่าวดีสำหรับแฟนๆ ศิลปะชาวไทย ที่จะได้มีโอกาสชมผลงานศิลปะร่วมสมัยของเหล่าบรรดาศิลปินทั้งในประเทศและระดับสากล ยกขบวนมาจัดแสดงผลงานกันในเทศกาลศิลปะร่วมสมัยนานาชาติ บางกอก อาร์ต เบียนนาเล่ 2024 ที่จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 4 แล้ว โดยในเทศกาลศิลปะครั้งนี้นำเสนอผลงานศิลปะจาก 76 ศิลปิน 39 ประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ภายใต้ธีมหลัก “รักษา กายา (Nurture Gaia)” ที่ได้แรงบันดาลใจจากเทพี ไกอา (Gaia) ในตำนานเทพปรณัมกรีก หรือพระแม่ธรณีผู้ให้กำเนิดและหล่อเลี้ยงสรรพชีวิต เพื่อแสดงถึงความสัมพันธ์อันสอดประสานกลมกลืนกันระหว่างมนุษย์และธรรมชาติ
/
เมื่อพูดถึงชื่อ อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล หรือ เจ้ย มิตรรักแฟนหนังหลายคนน่าจะรู้จักเขาในฐานะผู้กำกับภาพยนตร์ชาวไทยผู้เปี่ยมไปด้วยความเป็นศิลปะที่สุด ไม่เพียงแค่ในประเทศไทย แต่หมายรวมถึงในสากลโลก ยืนยันด้วยรางวัลสำคัญจากเทศกาลภาพยนตร์ระดับโลกหลายต่อหลายรางวัล ไม่ว่าจะเป็นรางวัลยอดเยี่ยมในการฉายสายรอง (Un Certain Regard) จากภาพยนตร์เรื่อง สุดเสน่หา (Blissfully Yours) (2002) และรางวัลขวัญใจคณะกรรมการ (Jury Prize) จากภาพยนตร์เรื่อง สัตว์ประหลาด! (Tropical Malady) (2004) จากเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองคานส์ ในปี 2002 และ 2004, หรือภาพยนตร์เรื่อง แสงศตวรรษ (Syndromes and a Century) (2006) ของเขาก็ได้รับเลือกให้เข้าชิงรางวัลสิงโตทองคำในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองเวนิส ในปี 2006 และคว้ารางวัลกรังปรีซ์จากเทศกาลภาพยนตร์ Deauville Asian Film Festival ในปี 2007, และภาพยนตร์เรื่อง รักที่ขอนแก่น (Cemetery of Splendor) (2015) ของเขาก็คว้ารางวัลยอดเยี่ยมจากเวที Asia Pacific Screen Awards ในปี 2015, ที่สำคัญที่สุด อภิชาติพงศ์ยังเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ชาวไทยคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ได้รับรางวัล ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมปาล์มทองคำ (Palm d’or) จากเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองคานส์ ครั้งที่ 63 ในปี 2010 จากภาพยนตร์เรื่อง ลุงบุญมีระลึกชาติ (Uncle Boonmee Who Can Recall His Past Lives) (2010), และล่าสุด ภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่องล่าสุดของเขาอย่าง Memoria (2021) ยังคว้ารางวัล Jury Prize ในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ครั้งที่ 74 ในปี 2021 มาครองได้อีกครั้ง อีกทั้งยังได้รับเสียงวิจารณ์เชิงบวกอย่างท่วมท้นจากสื่อมวลชนนานาชาติ
We use cookies, localStorage and other technologies (collectively, "cookies") to recognise your browser or device, learn more about your interests, and provide you with essential features and services and for additional purposes. ( see details )