LOOKING ON EVERYTHING ?
EXPLORE ON EVERYTHING
Revenge Marketing/ นิยามใหม่ของไม้ซีกงัดไม้ซุง/ การต่อสู้ทางอัตลักษณ์ / และพื้นที่ของคนหนุ่มสาว
นาทีนี้เห็นจะไม่มีซีรี่ส์ไหนได้รับความนิยมมากไปกว่า “Itaewon Class” ซีรีส์เกาหลีที่ออกอากาศทางช่อง JTBC ของเกาหลี และบนแพลตฟอร์มออนไลน์สตรีมมิ่งอย่าง Netflix ที่เพิ่งออกอากาศตอนสุดท้าย (ในบ้านเรา) เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา พร้อมกับสร้างสถิติเรตติ้งสูงถึง 16.5 % (อ้างอิงจาก Nielsen Korea) ในตอนสุดท้ายที่ออกอากาศในเกาหลีใต้ สูงกว่าทุกตอนที่ผ่านมาของซีรี่ส์เรื่องนี้ และยังสร้างปรากฏการณ์ต่าง ๆ อีกมากมาย อาทิ เป็นซีรีส์ที่เรตติ้งสูงสุดเป็นอันดับ 2 ในประวัติศาสตร์ช่อง JTBC (รองจาก SKY Castle) และเป็นซีรีส์ที่ทำเรตติ้งสูงสุดตลอดกาลเป็นอันดับ 6 เป็นต้น มากไปกว่านั้นยังเป็นซีรี่ส์ที่ทำให้ภาพรวมของ อิแทวอนดง พื้นที่เศรษฐกิจสำคัญที่ไม่มีวันหลับใหลในกรุงโซลคึกคักเพิ่มมากขึ้น มีนักท่องเที่ยวจากนานาประเทศอยากไปเยี่ยมชมสถานที่สำคัญ ๆ ในซีรี่ส์เรื่องนี้มากขึ้น (หากไม่ประสบปัญหาโรคระบาด โควิด 19 เสียก่อน) อะไรทำให้ซีรี่ส์เรื่องนี้ประสบความสำเร็จมากขนาดนั้น (*** คำเตือน : อาจมีสปอยล์ ****)
ตอบคำถามนี้แบบง่ายที่สุดก็ต้องบอกว่า “Itaewon Class” เป็นซีรี่ส์ที่ดูสนุกและน่าติดตาม เพราะมันผสมผสานพล็อตทุกแบบของเรื่องเล่าที่สนุกไว้ด้วยกัน เป็นต้นว่า พล็อตหักเหลี่ยมเฉือนคมในเกมธุรกิจ พล็อตตามล้างตามแค้นระหว่างตระกูล พล็อตชิงรักหักสวาทโรแมนติค พล็อตการเอาชนะก้าวข้ามอุปสรรคและค้นหาตัวตน ที่สำคัญเมื่อนำพล็อตมาตรฐานเหล่านี้มาขยำรวมกันในความยาว 16 ตอน แม้ในรายละเอียดจะมีความเมโลดรามา หรือเยิ่นเย้อล้นเกินไปบ้าง แต่มองในภาพรวมก็ต้องยอมรับว่าผสมผสานได้อย่างกลมกล่อม ส่วนหนึ่งต้องให้เครดิตกับ โจกวังจิน ที่เป็นทั้งคนเขียนบทและยังเป็นเจ้าของเรื่องเมื่อครั้งยังเป็นการ์ตูนบนเว็บที่ทำทุกอย่างออกมาได้อย่างลงตัวและรู้ว่าผู้ชมต้องการเห็นอะไร ในตอนไหน
แต่หากมองให้ลึกลงไปกว่านั้น “Itaewon Class” นำเสนอประเด็นหลักที่ทั้งแหลมคมและมีความน่าสนใจพอให้ใคร่ครวญ ประเด็นนั้นได้แก่ ความเคียดแค้นและผลของมัน การลุกขึ้นสู้ของคนชั้นล่าง การต่อสู้เพื่อรักษาตัวตนและสถานะ และพื้นที่กับการโอบอุ้มความใฝ่ฝันของคนหนุ่มสาว
ใน “Itaewon Class” สิ่งที่ผลักดันสองตัวละครคู่ขัดแย้งหลักอย่าง พัคแซรอย (พัคซอจุน) และ ประธานชางแดฮี (ยูแจมยอง) คือความเคียดแค้นและมุ่งหมายบดขยี้อีกฝ่ายให้พ่ายแพ้ต่อหน้า ทั้งคู่เป็นด้านตรงข้ามของเหรียญเดียวกัน กล่าวคือแม้จะมีความเคียดขึ้นเป็นเจ้าเรือนเหมือนกัน แต่วิธีการในการเอาชนะอีกฝ่ายนั้นแทบจะเป็นคนละแนวทาง พัคแซรอย เป็นนักสู้ที่เก็บเอาความเคียดแค้นแปรออกมาเป็นพลัง สันดาปเป็นประกายไฟพาให้เขาก้าวขึ้นไปชกบนเวที และเมื่อพ่ายแพ้ความเคียดแค้นนั้นก็สันดาปเขาให้ลุกขึ้นสู้ใหม่-ไม่สิ้นสุดจนกว่าจะชนะ แต่ความเคียดแค้นของประธานชางนั้นผลักดันให้เขาทำอีกแบบ เขาใช้มันในการวางกลยุทธ กินรวบ เอาชนะทุกสิ่ง โดยไม่สนวิธีการ ดังนั้นความเคียดแค้นนั้นเองจึงกลายเป็นทั้งแรงผลักดัน (ของเถ้าแก่พัค) และกลยุทธ (ของประธานชาง) ในการทำธุรกิจ รวมความแล้วคือการต่อสู้ด้วยแผนการตลาดที่เดินไปบนความอาฆาตมุ่งทำลายอีกฝ่ายทั้งต่อหน้าและลับหลัง
ย่อมต่อกรกับไม้ซุงใหญ่เทอะทะที่เนื้อในถูกกัดกินด้วยปลวกจนผุพังได้เช่นกัน”
เรื่องสนุกมากขึ้นตรงที่การห้ำหั่นทางธุรกิจดังกล่าวนั้น หากเป็นคู่มวยที่พิกัดน้ำหนักไล่เลี่ยกันก็คงเป็นการต่อสู้อันสมควร แต่กับร้านเล็ก ๆ อย่างทันบัมของพัคแซรอย กับเครือข่ายบริษัทอาหารที่ใหญ่ที่สุดในประเทศอย่างชางกากรุ๊ปที่มี ประธานชางเป็น CEO นั้นเหมือนกับเอามดปลวกไปสู้กับคชสาร เอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุง แต่ “Itaewon Class” ก็ทำให้เห็นว่าไม้ซีกนั้นหากแข็งแกร่งจากเนื้อในและสร้างขึ้นจากพันธ์ไม้ที่ดี ย่อมต่อกรกับไม้ซุงใหญ่เทอะทะที่เนื้อในถูกกัดกินด้วยปลวกจนผุพังได้เช่นกัน วิธีการต่อสู้ของคนที่เป็นไม้ซีกนั้นจึงไม่มีอะไรซับซ้อนไปกว่า คงความเป็นไม้เนื้อดีนั้นไว้ ทำได้ก็ด้วยการยึดมั่นในหลักการ ยึดมั่นในสิ่งที่ตัวเองเชื่อและเลือกเดินมาแล้ว และหมั่นเพิ่มพูนสติปัญญาจากคนแวดล้อม ในทางกลับกันคนที่เป็นไม้ใหญ่หากไม่ปกครองคนในร่มไม้ของตนให้ดี ให้ความยุติธรรมกับทุกฝ่าย คิดแต่เอาชนะโดยไม่สนวิธีการ ย่อมเสี่ยงต่อการล้มครืนได้ง่ายกว่า และเมื่อไม้ใหญ่ล้มครืนความเสียหายย่อมมากมายกว่ากล้าไม้เล็ก ๆ มากนัก “Itaewon Class” จึงนำเสนอการต่อสู้อันเข้มข้นของไม้ซีกและไม้ซุงในรูปแบบนี้ได้อย่างมีมิติ น่าสนใจและน่าศึกษา
ต่อมาเป็นเรื่องการต่อสู้เพื่อรักษาอัตลักษณ์ รักษาความเป็นตนเองท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งแสดงให้เห็นผ่านตัวละครหลักฝั่งร้านทันบัม ไล่ตั้งแต่พัคแซรอย ที่เป็นทั้งอดีตนักโทษ กรรมกร ถูกไล่ออกจากโรงเรียน อยู่ตัวคนเดียวมาตั้งแต่วัยรุ่น เช่นเดียวกับ ชเวซึงควอน (รยูคยองซู) ที่คบหากันมาตั้งแต่อยู่ในคุกและคิดว่าตนเองคงเป็นอะไรไม่ได้อีกนอกจากไอ้ขี้คุก, มาฮยอนอี (อีจูยอง) สาวข้ามเพศที่เอาชนะอคติของคนในสังคมด้วยการมุ่งมั่นฝึกฝนจนกลายเป็นเชฟระดับประเทศ, โทนี่ (คริส ลีออง) ที่ยืนกรานว่าตนเองเป็นคนเกาหลีแม้จะขัดกับรูปลักษณ์ที่เขาเป็น และอาจรวมตัวละครฝั่งตรงข้ามอย่าง โอซูอา (ควอนนารา) ที่แม้จะอยู่ในสถานะและสถานที่ที่ผิดที่ผิดทาง ชวนให้ผู้ชมตั้งคำถามตลอดเวลาว่าตัวตนของเธอเป็นอย่างไรกันแน่ แต่ความตั้งใจของเธอนั้นเด็ดเดี่ยวและแน่วแน่ไม่แพ้ใคร ทั้งหมดที่กล่าวมานี้เป็นตัวละครที่ต่อสู้กับการรักษาตัวตนไว้ทั้งแบบเห็นได้ชัด เพื่อยืนยันในสิ่งที่พวกเขาเป็นโดยไม่จำเป็นต้องอยู่ภายใต้นิยามหรือคำตัดสินของใคร ประเด็นนี้เป็นสิ่งที่น่าสนใจมากเพราะหากมองกลับไปที่ฝ่ายของชางกากรุ๊ป ตัวละครหลักอย่างสองพี่น้อง ชางกึนวอน (อันโบฮยอน) และ ชางกึนซู (คิมดงฮี) นั้นแทบไม่ได้เลือกชีวิตดังที่ใจปรารถนาเลย ทุกอย่างเป็นไปตามที่ประธานชางผู้พ่อเป็นฝ่ายกำหนด สำหรับ ชางกึนวอน นั้นนอกจากไม่รู้ว่าตัวเองอยากเป็นอะไรแล้ว นั้นยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแท้จริงนั้นตนเองเป็นใคร “Itaewon Class” จึงทำให้ผู้ชมเห็นว่าการต่อสู้เพื่อรักษาตัวตนนั้นสำคัญอย่างไรและผลเสียจากการยอมไร้ตัวตนเดินไปบนความฝันคนอื่นนั้นเป็นอย่างไร
ประเด็นสุดท้ายคือการที่ “Itaewon Class” พูดถึงความฝันอันหอมหวานของคนหนุ่มสาว ผ่านพื้นที่หรือสถานที่ที่พวกเขาเหล่านั้นจะได้ลงมือทำ ลงมือต่อสู้ ในโลกที่กำลังเปลี่ยนผ่านมาเป็นของพวกเขา ร้านทันบัมในย่านอิแทวอน อาจเป็นแค่ร้านเหล้า แฮงก์เอาต์ธรรมดาทั่วไป แต่แท้ที่จริงมันคือโลกใบเล็กที่นอกจากโอบอุ้มการต่อสู้ทางธุรกิจและการรักษาตัวตนดังที่ได้กล่าวมาแล้ว แต่มันยังโอบอุ้มความหลงใหลใฝ่ฝันหาอนาคตที่ดีกว่า ยิ่งใหญ่กว่าคนรุ่นก่อน ด้วยวิธีการที่แตกต่างไปจากคนรุ่นก่อน เป็นวิธีการของตนเอง ประเด็นนี้ถูกนำเสนออย่างชัดเจนผ่านตัวละครสำคัญอย่าง โชอีซอ (คิมดามี) สาวน้อยอัจฉริยะที่เป็นภาพสะท้อนของคนรุ่นใหม่ ผู้กล้าแหวกขนบ ทำลายความเชื่อ มีความแน่วแน่ และใช้ความฉลาดหลักแหลมพิชิตชัยไปทีละเปลาะทีละด่านได้อย่างน่าชื่นชม ประเด็นนี้เองที่ทำให้ “Itaewon Class” ยกสถานะกลายเป็นโมเดลทางความฝันให้แก่คนหนุ่มสาวทั่วโลกผู้อยากออกไปสร้างสรรค์และทำอะไรแบบนี้บ้าง (และเจ็บปวดแบบนี้บ้าง-เช่นกัน) ในทางตรงข้าม ภาพการก่อร่างสร้างความฝันของตัวละครนั้นเป็นเหมือนเครื่องปลอบประโลม ชุบชูจิตใจให้กับผู้ชมที่ผ่านพ้นวัยนั้นไปแล้ว เพื่อหวนระลึกถึงช่วงเวลาที่พวกเขาเหล่านั้นเคยทำอะไรแบบนี้ด้วยเช่นกัน จึงไม่แปลกที่ผู้ชมส่วนหนึ่งของ “Itaewon Class” เป็นผู้ใหญ่ที่ผ่านชีวิตมาแล้วประมาณหนึ่งซึ่งรู้ซึ้งถึงรสชาติชีวิตที่มีทั้งหวานอมและขมกลืน
นี่ยังไม่นับความรักกุ๊กกิ๊กหนุ่มสาว ความโรแมนติกในรักสามเศร้า ความดรามาสะเทือนใจ การใคร่ครวญชีวิต ซึ่งล้วนเป็นท่าบังคับและเครื่องหมายการค้าของซีรี่ส์เกาหลี ซึ่ง “Itaewon Class” ทำได้อย่างลงตัวและมีครบทุกรสชาติ (แม้ส่วนตัวผู้เขียนจะคิดว่าล้นเกินไปบ้างในบางตอน)
ทั้งหมดจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมซีรี่ส์เรื่องนี้จึงประสบความสำเร็จดังที่เห็นกันอยู่ “Itaewon Class” เป็นซีรี่ส์ที่สะท้อนภาพของหลายสิ่ง ในหลายมิติ ทั้งแบบกว้างและแบบลึก นอกเหนือจากการโอบอุ้มความหลงใหลใฝ่ฝันของผู้คนแล้ว มันยังเต็มไปด้วยการวิพากษ์ชนชั้น การนำเสนอประเด็นความหลากหลายทางสังคม และระบบและกลไกธุรกิจที่ไม่ต่างจากหลาย ๆ ประเทศทั่วโลกที่นับวันจะหาไม้ซีกอย่างพัคแซรอย ยากขึ้นทุกที
ITAEWON CLASS : รีเวนจ์มาร์เก็ตติ้ง/ นิยามใหม่ของไม้ซีกงัดไม้ซุง/ การต่อสู้ทางอัตลักษณ์ / และพื้นที่ของคนหนุ่มสาว
/
ท่ามกลางลิสต์ภาพยนตร์ต่อสู้ระทึกขวัญ หรือภาพยนตร์ดราม่าเรียกอารมณ์ผู้ชม ใน Hong Kong Film Gala Presentation & Dynamic Cityscapes of Hong Kong Films “งานภาพยนตร์ฮ่องกงพลังหนังขับเคลื่อนเมือง กับนิทรรศการหนังฮ่องกง” ที่เดินทางกลับมาฉายในไทยอีกครั้งในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็ยังมีภาพยนตร์กลิ่นอายโรแมนติกอีกหนึ่งเรื่อง ที่น่าจับตามองไม่แพ้กันอย่าง Love Lies ที่นำเสนอความสัมพันธ์ของแพทย์หญิงหม่าย ที่รับบทโดย Sandra Ng Kwan-Yue (อู๋จินหยู) ผู้ร่ำรวย และมีหน้าที่การงานที่ดี ซึ่งบังเอิญตกหลุมรักกับวิศวกรชาวฝรั่งเศสวัยกลางคน ที่คอยหยอดคำหวานและคำห่วงใยผ่านแชทมาให้ตลอด จนกระทั่งเธอค้นพบความจริงว่าเบื้องหลังแชทเหล่านี้เกิดขึ้นด้วยคำลวงจากฝีมือเด็กหนุ่มมิชฉาชีพ ที่รับบทโดย MC Cheung (เอ็มซีเจิ้ง) ดังนั้นเรื่องราวต่อจากนี้ในภาพยนตร์จึงเป็นการค้นหาคำตอบของเธอในสมการความสัมพันธ์ครั้งนี้ว่าจะจบลงอย่างไร
/
ความสำเร็จด้านรายได้กว่า 100 ล้านเหรียญฮ่องกงของ A Guilty Conscience จากการกำกับของ แจ็ค อึ่ง (Jack Ng) สร้างปรากฏการณ์ใหญ่ที่นับได้ว่าเป็นความหวังใหม่ของอุตสาหกรรรมภาพยนตร์ของฮ่องกง และทำให้บรรยากาศของแวดวงนี้ดูจะกลับมาคึกคักอีกครั้งในสายตาของแฟนหนังทั่วโลก พอ Hong Kong Film Gala Presentation หรือที่ในปีนี้ใช้ชื่อเต็มว่า Hong Kong Film Gala Presentation & Dynamic Cityscapes of Hong Kong Films “งานภาพยนตร์ฮ่องกงพลังหนังขับเคลื่อนเมือง กับนิทรรศการหนังฮ่องกง” ได้กลับมาจัดอีกครั้งในประเทศไทย ก็ทำให้ลิสต์ในปีนี้เต็มไปด้วยภาพยนตร์คุณภาพที่น่าจับตามองจากฝีมือการกำกับของผู้กำกับรุ่นใหม่ และจากพลังของนักแสดง
/
ภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้สามารถเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่จะบอกเล่าแก่คนรุ่นหลังได้ว่าพวกเราซึ่งเป็นประชาชนภายในประเทศนี้ผ่านอะไรกันมา กำกับโดย “เอกพงษ์ สราญเศรษฐ์” (เอก) ผู้กำกับภาพยนตร์อิสระจากสงขลา เอกเริ่มกำกับสารคดีสั้นเกี่ยวกับความตายของ กฤษณ์ สราญเศรษฐ์ ลุงของเขาในชื่อเรื่อง “คลื่นทรงจำ” (2561) ซึ่งได้รับรางวัลสารคดีสั้นยอดเยี่ยมในงานเทศกาลภาพยนตร์สารคดีนานาชาติ DMZ ที่ประเทศเกาหลีใต้ และได้เข้าฉายในเทศกาลต่างประเทศอีกหลายแห่ง และผู้กำกับอีกคน คือ “ธนกฤต ดวงมณีพร” (สนุ้ก) ผู้กำกับภาพยนตร์และผู้กำกับภาพ ที่ได้เข้าชิงรางวัลช้างเผือกจากเทศกาลภาพยนตร์สั้นแห่งประเทศไทยครั้งที่ 21 จากเรื่อง “ทุกคนที่บ้านสบายดี” (2560) และได้รับเลือกฉายในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติไห่ หนาน
/
เมื่อเสียงดนตรีคืออวัยะวะชิ้นที่ 33 ของวง “The Jukks” จึงไม่แปลกใจที่แม้ผ่านเวลาไปเกือบ ๆ 13 ปี (จากอัลบั้มแรกจนถึงซิงเกิลปัจจุบัน) พวกเขาเหล่าศิลปินจากค่ายเพลงห้องเล็ก ก็ยังสื่อสารกับทุกคนในทุกช่วงเวลา ผ่านเสียงดนตรีที่สะท้อนถึงความเป็นเอกลักษณ์ของวง ด้วยเนื้อหา แนวคิด และมุมมองทางดนตรีใหม่ ๆ ได้อย่างมีสไตล์ และยังโดดเด่นด้วยการใช้ภาษาในการเขียนเพลง
/
เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งคอลแลปคอลเล็กชั่นสุดพิเศษของปี 2567 เลยก็ว่าได้ กับ “SEIKO 5 SPORTS MAMAFAKA LIMITED EDITION” ที่เปิดวางจำหน่ายเพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น ก็ Sold out และกลายเป็นอีกหนึ่งคอลเล็กชั่นแรร์ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่นอกจากการเปิดตัวอย่างเป็นทางการไปเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาแล้ว อีกหนึ่งไฮไลต์สำคัญคือเบื้องหลังงานดีไซน์ของเรือนเวลา ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากความเป็น Mr. HELLYEAH! และตัวตนของ MAMAFAKA อยู่อย่างอัดแน่น ซึ่งในงานนี้ก็ได้ครอบครัวมุกดาสนิทและเพื่อนของตั้มมาร่วมกันแชร์ไอเดียเบื้องหลัง พร้อมกับการแบ่งปันความทรงจำ ความประทับใจ รวมถึงสิ่งที่เขามอบให้วงการศิลปะ จากมุมมองของเพื่อนศิลปินที่มีต่อ “ตั้ม - พฤษ์พล มุกดาสนิท”
/
หากพูดถึงวงการแฟชั่นทรงผมในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ชื่อของ Smile Club Thailand ก็จะอยู่บนท็อปลิสต์กลุ่ม Hair Stylist ที่มีคาแรกเตอร์และสไตล์ที่จัดจ้านอันดับต้นของบ้านเรา ทั้งยังเป็นร้านที่เซเลบริตี้และอินฟลูเอนเซอร์ต่างต่อคิวมาใช้บริการมากที่สุด เพราะที่นี่เค้ามีช่างฝีมือดี มีเทส และมีความเชี่ยวชาญในการออกแบบทรงผมให้เหมาะกับลูกค้าที่มาใช้บริการทุกคน ซึ่งนอกจากการตกแต่งทรงผมเท่ ๆ แล้ว สิ่งที่ Hair Stylist ของ Smile Club ให้ความสำคัญมากที่สุด นั่นก็คือ “สีผม” ที่จะช่วยเสริมบุคลิก และสามารถสะท้อนตัวตนของคน ๆ นั้นได้เป็นอย่างดี
By NIGAO
We use cookies, localStorage and other technologies (collectively, "cookies") to recognise your browser or device, learn more about your interests, and provide you with essential features and services and for additional purposes. ( see details )