LOOKING ON EVERYTHING ?
EXPLORE ON EVERYTHING
“DRAMATIC TEMPO”
ศิลปะจังหวะละครชีวิตของ YoSecrete ฐิติภัทร งามสงวน
ในช่วงเวลาบ่ายที่สายลมอ่อน ๆ แดดบาง ๆ ผสานกับเสียงการกระทบกันของคลื่นน้ำแถวริมทะเลบางแสน รถ Honda Ct125 คันหนึ่งได้เข้ามาจอดเทียบ เราได้เห็นชายใส่แว่นสีชาก้าวลงจากรถและถอดหมวกกันน็อคออก พร้อมกับส่งเสียงทักทายว่า “สวัสดีครับ ผม YoSecrete”

ฐิติภัทร งามสงวน หรือ โย นักผลิตงานศิลปะจากรั้วมหาวิทยาลัยบูรพา เขาชื่นชอบงานศิลปะตั้งแต่วัยเด็ก ซึ่งไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เขาก็จะมีสมุดกับดินสอเตรียมไว้ข้างกาย เพื่อจะได้วาดรูปเล่นในแบบที่ตนเองชอบตลอดเวลา
ไดโนเสาร์กับถุงกระดาษ
ช่วงตอนเด็ก ๆ ผมชอบวาดไดโนเสาร์มาก เรียกได้ว่าคลั่งไคล้เลยทีเดียว ทุก ๆ เช้าวันเสาร์ ผมจะตามดูการ์ตูนไดโนเสาร์ทางทีวีช่องเจ็ดตลอด ดูเสร็จก็จะนั่งวาดเล่นไปเรื่อย ๆ แต่ก็ไม่ได้สวยอะไรมากมาย พอเข้าช่วงประถมก็จะเปลี่ยนไปวาดโปเกม่อนแทน ก็ไม่ได้สวยเหมือนเดิม (เขายิ้มแบบถ่อมตน) และมีอีกอย่างหนึ่งที่ผมชอบตอนเด็กก็คือ การเอาถุงกระดาษมาฉีกเป็นแผ่นแล้วเอาไปแปะกับผนังเล่น ซึ่งตอนหลังถึงได้รู้ว่ามันคือวิธี “เปอร์เปอร์มาเช่”


ศิลปะ Honda C70
ความชอบมอเตอร์ไซค์ของผมจะเริ่มในช่วงมัธยมต้น ตอนนั้นผมมี Honda C70 เอาไว้ขับไปเรียนอยู่หนึ่งคัน ผมก็จับเอามา Custom เปลี่ยนอะไหล่โน้นนี่ ส่วนตัวถังรถผมก็ใช้วิธี “เปอร์เปอร์มาเช่” ทั้งคันเลย เพราะผมทำสีไม่เป็น หลังจากนั้นก็เริ่มมีเพื่อน ๆ มาให้ช่วยทำอีกเพียบ (เขาหัวเราะ)
ทิศทางชีวิต
“ที่บ้านไม่ได้แฮปปี้ที่ผมจะเลือกเรียนศิลปะตอนจบ ม.6” เพราะส่วนใหญ่พวกเขาจะทำงานรับราชการกัน แต่ผมไม่ชอบ ตอนนั้นผมก็เลยเลือกเรียนคณะโลจิสติกส์ที่มหาวิทยาลัยบูรพาแทน ด้วยความคิดที่ว่าพื้นที่ ๆ ผมอยู่คือแถวแหลมฉบัง การทำงานด้านนี้น่าจะตอบโจทย์การใช้ชีวิตในอนาคตได้ดี แต่พอผมเรียนผ่านไปได้สักระยะหนึ่ง ก็พบว่าความรู้สึกข้างในมันเริ่มต่อต้านกับตัวตนจริง ๆ ช่วงตอนที่เรียนคณะโลจิสติกส์ผมก็ไม่ได้เรียนแย่อะไรนะ ทำคะแนนผ่านทุกวิชา เพื่อน ๆ ในคณะก็ดีทุกคน แต่ส่วนใหญ่เวลาไปเที่ยวผมจะไปคลุกอยู่กับเพื่อนคณะศิลปกรรมมากกว่า ตอนนั้นก็ไว้ผมยาวด้วย จนหลายคนคิดว่าเรียนคณะเดียวกัน พอความรู้สึกภายในมันสุกงอมเต็มที่ ผมก็เลยขาดเรียนไปเรื่อย ๆ จนอาจารย์ถามว่าจะเอายังไง ผมเลยตอบไปว่าไม่เรียนแล้วครับ ซึ่งตอนแรกอาจารย์ก็ยื้อไว้ด้วยเห็นว่าอีกไม่กี่ปีก็จะจบแล้ว แต่สุดท้ายพอหมดซัมเมอร์ ผมก็ย้ายไปเรียนคณะศิลปกรรมแทน
ก่อกำเนิด YoSecrete
ผมเลือกสาขาวิชาออกแบบนิเทศศิลป์ ในช่วงเรียนปีแรก ๆ ผมได้ทำหลายอย่าง ทั้ง Drawing, Graphic Design, ถ่ายรูป, ถ่ายวิดีโอ, ออกกอง, ทำรายการอาหาร, วาดงาน Character Design, ยกเว้นงาน Collage (เขายิ้ม) ตอนนั้นผมสนุกกับงานมาก คิดว่าจบออกไปจะทำงานด้านโปรดักชั่น ไม่ได้มีความคิดเกี่ยวกับงาน Collage เลย บวกกับผมต้องทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย เพราะไม่อยากเป็นภาระที่บ้านจากกการที่เปลี่ยนมาเรียนศิลปะ จึงทำให้ไม่มีเวลาที่จะนึกถึงสิ่งอื่นนอกจากเรียนและทำงาน พอช่วงเวลาปี 3 – 4 ผมได้ไปทำงานเป็นช่างภาพในโปรดักชั่นเฮ้าส์ ทำไปได้เรื่อย ๆ สักพักรุ่นพี่ในที่ทำงานก็บอกให้ลองเปลี่ยนไปทำรีทัชภาพแทน ซึ่งช่วงนั้นแหละที่ผมเริ่มทำงาน Digital Collage เพราะพอเราได้ทำงานรีทัชภาพมาก ๆ ก็เลยเกิดไอเดียว่าเราสามารถตัดภาพในคอมให้เป็นงาน Digital Collage ได้ ผมจึงเริ่มหาแนวทางของตัวเองด้วยการศึกษาข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับงานลักษณะนี้ ทั้งเรื่องลิขสิทธิ์ภาพ ดูงานกับดูเทคนิคใหม่ ๆ สอบถามผู้รู้ในแวดวง Digital Collage เริ่มเปิดเพจ FB ที่ชื่อว่า “College Addict” เพื่อเอาไว้ลงงานของตัวเอง และสุดท้ายผมก็เริ่มเข้าไปอยู่ในคอมมูนิตี้คนที่ชอบเรื่อง “การเมือง



วิพากษ์ วิจารณ์ บันดาลโทสะ
แรงบันดาลใจเริ่มแรกในงาน Digital Collage ของผมจะเกี่ยวกับการเมือง สังคม ความไม่เท่าเทียม เพราะผมมีความคิดอยากจะเปลี่ยนสังคมให้ดีขึ้น เวลาว่างก็ชอบฟังข่าวการเมือง พอฟังมาก ๆ ก็เริ่มหมั่นไส้เริ่มโมโหอยากจะด่า (เขาหัวเราะ) ผมเลยเลือกระบายอารมณ์ผ่านการสื่อสารด้วยงานศิลปะ Digital Collage โดยช่วงแรก ๆ ผมจะโพสรูปลงในเพจ FB ของตัวเอง และเพจ FB ที่ชื่อ “กลุ่มนักวาดภาพประกอบประชาธิปไตย” ซึ่งในนั้นก็จะมีนักวาดภาพประกอบที่ทำงานศิลปะอยู่หลายคน พวกเราก็เริ่มคุยเริ่มทำความรู้จักกัน จนกลายเป็นเพื่อนถึงทุกวันนี้

Black Panther
ช่วงเวลาที่เรียนปี 4 ระหว่างนั้นผมกำลังจะทำ Thesis จบ ผมก็เกิด “อุบัติเหตุ” โดนรถกระบะชนจนกระดูกไหปลาร้าด้านขวาหัก ตอนนั้นทั้งงานที่ทำ ทั้ง Thesis ต้องหยุดหมดทุกอย่าง ฝืนจะจับเมาท์ทำงานต่อก็เจ็บไปหมด ผมเลยกลับไปพักรักษาตัวเองที่บ้านก่อน พอเริ่มจะหายดีตอนนั้นก็มีข่าว “เสือดำถูกฆ่า” เพียงเพื่อตอบสนองความอยากของคนกลุ่มหนึ่ง ผมรู้สึกว่าไม่ถูกต้อง ก็เลยทำงาน Digital Collage ที่วิพากษ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ พอผมลงงานไปในเพจ ก็ถูกแชร์ต่อกันไปมากมายจนทำให้ผลงานเป็นที่รู้จักมากขึ้น แต่นอกเหนือจากคำชื่นชมแล้ว ผมก็มีถูกทักมาด่าว่า “มึงเป็นใครทำไมถึงทำงานแบบนี้” ไล่ให้ผมไปลบโพส ไล่ Spam งานจนหลุดจากโพส แต่ผมไม่ยอมก็แคปภาพไปโพสใหม่จนคนแชร์ต่อกันไปอีกเป็นหลักหมื่น จากนั้นผมก็ทำงานเกี่ยวกับการเมืองต่อไปเรื่อยๆ
Turning Point Of Life
เมื่อเรียนจบ ผมก็มาทำงานประจำที่บริษัทเอเจนซี่ในกรุงเทพ พร้อมกับยังทำงาน Digital Collage การเมืองแบบเอามันส์อย่างต่อเนื่อง ผมเริ่มไปดูงานจัดแสดงศิลปะต่าง ๆ เริ่มได้รู้จักศิลปินที่มีชื่อเสียง และได้เห็นงานพวกเขาจัดแสดงที่โน้นที่นี่ ก็เลยเริ่มคิดว่างาน Digital Collage ที่เราทำอยู่จะสามารถไปต่อได้ในแบบไหน สุดท้ายก็ตกผลึกว่าต้องเปลี่ยนลักษณะการสื่อสาร จะใช้เรื่องการเมืองแบบเอามันส์อย่างเดียวคงไม่ได้ เพื่อให้งานผมสามารถออกไปในวงที่กว้างกว่านี้และสร้างรายได้ให้กับตัวเองเหมือนศิลปินคนอื่น ๆ
จาก College Addict สู่ YoSecrete
พอมีความคิดว่าจะเปลี่ยนวิธีการสื่อสารของงานที่ทำ ผมก็มานั่งคิดว่าการทำงาน Digital Collage อย่างเดียวคงไม่พอ ต้องมีรูปแบบลักษณะที่หลากหลายมากขึ้นทั้งในเรื่องของเทคนิค และตัวชิ้นงาน ผมจึงได้เริ่มทำงานภายใต้คอนเซ็ปต์ “Dramatic Tempo” ที่จะสื่อสารผ่านเรื่องราวจังหวะของความรัก, อุปสรรคที่เกี่ยวกับความรัก, ความผิดหวัง, ความยากของความสัมพันธ์ และความไม่เท่าเทียมของผู้หญิง ทำให้งานคอนเซ็ปต์นี้ผมเลยเอาภาพผู้ชายและผู้หญิงมาใช้สื่อสารเป็นหลัก ซึ่งภาพต่าง ๆ จะนำมาจาก “Public Domain” ที่ถูกลิขสิทธิ์ เพื่อให้สามารถนำไปทำการค้าเชิงพาณิชย์ในรูปแบบต่าง ๆ ได้ โดยผมก็ได้ที่ปรึกษาดี ๆ ในเรื่องการนำรูปภาพมาใช้ อย่างพี่นักรบ มูลมานัส, พี่แอค - ภูริชญา ปัญญาสมบัติ (Fxaq27) ส่วนในเรื่องของเทคนิคผมก็พัฒนาเพิ่มขึ้นจากเดิม อย่างเช่น การใช้วิธีสกรีนภาพลงบนแคนวาส การใช้เทคนิคสีสเปรย์ การวาดเพิ่มในภาพ การใช้วิธีแยกเลเยอร์ของภาพเพื่อให้เกิดมิติ และอาจจะใช้วิธีฉีกกระดาษมาติดเพิ่ม เพราะผมไม่ต้องการจบงานแค่ในคอมแล้วก็แค่ปริ้นออกมาเท่านั้น ผมต้องการต่อยอดให้มันไปไกลขึ้น ซึ่งงานผมในรูปแบบใหม่นี้มันจะหลุดจากความเป็นงาน Digital Collage แบบเดิมๆ มันมีลูกผสมของความเป็นงาน Mixed Media มากขึ้น เลยทำให้ตัดสินใจเปลี่ยนชื่อจาก College Addict ที่สื่อถึงงาน Collage เพียงอย่างเดียว เป็น YoSecrete ที่ทำงานศิลปะที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น


ภายใต้หน้ากากที่ซ่อนความบอบบาง
งาน Set นี้จะสื่อถึงความบอบบางภายใต้ความแข็งแกร่งที่ผู้หญิงแสดงออกมา โดยใช้หน้ากากของพวกสัตว์ต่าง ๆ มาเป็นสื่อผสม และหากสังเกตดี ๆ ภาพผู้หญิงแต่ละคนจะมีน้ำตาไหลออกมา ซึ่งก็ยิ่งตอกย้ำให้เราต้องดูแลรักษาความรู้สึกของเธอให้เป็นอย่างดี

ปัจจุบันและอนาคต
ตอนนี้ผมก็ทำงานคอนเซ็ปต์ “Dramatic Tempo” อยู่เรื่อย ๆ เพื่อที่นำผลงานไปต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ภาพจิ๊กซอว์, โปสการ์ด, เสื้อ, พวงกุญแจ, มีทำเว็บไซต์ของตัวเองเพื่อโปรโมทผลงาน โดยในเว็บไซต์จะมีการขายสินค้าต่าง ๆ มีการนำผลงานไปจัดแสดงอยู่ที่แกลลอรี่เซ็นทรัลอยุธยา ชั้น 2 Cultural Space (ตึก Top Daily) ถึงวันที่ 29 กุมภาพันธ์ ส่วนช่วงเดือนมีนาคมก็จะมีการจัดแสดงงานที่กรุงเทพ และภายในปีนี้ก็จะมีการ Collabs ผลงานกับเพื่อน ๆ ที่ทำงานศิลปะด้วยกัน ก็อยากให้คอยติดตามชม สำหรับทิศทางในอนาคตของ YoSecrete ผมได้วางไว้ว่าอยากจะมี Solo Exhibition ของตัวเองซักครั้งหนึ่ง อยากเอางานตัวเองไปอยู่ในสินค้าอะไรก็ได้ที่เขาอยากให้ทำ ซึ่งผมก็ไม่รู้หรอกว่ามันจะไปได้ไกลขนาดไหน (เขายิ้มแต่สายตาดูมุ่งมั่นมาก)
สามารถติดตามผลงานของ YoSecrete ได้ผ่านช่องทาง
instagram : Yosecrete
FB : Yosecrete
X : Yosecrete
.
Writer : Samattachai B.
“Dramatic Tempo” ศิลปะจังหวะละครชีวิตของ YoSecrete ฐิติภัทร งามสงวน
/
ทันทีที่ Key Visual สถาปนิก’ 68 เผยแพร่ออกมา บทสนทนาปลุกสัญชาตญาณนักสืบในตัวทุกคนพร้อมใจกันทำงานแบบ Autopilot และระหว่างที่ตามหาเฉลยกันจริงจัง ทุกคนเริ่มหันมาตั้งคำถามต่อว่า Art Toys เกี่ยวข้องกับธีมงานอย่างไร รู้ตัวอีกทีวงสนทนาก็กระเพื่อมขยายกว้างขึ้น ส่งสัญญาณชัดว่า Key Visual ปีนี้เปิดฉากมาแบบสนุกเอาเรื่อง โดนเส้นกันสุดๆ
/
วัลลภ รุ่งกำจัด หรือ อุ้ม นักแสดงที่เชื่อมโยงความเป็นมนุษย์กับโลกของภาพยนตร์ ผ่านการสร้างชีวิตให้ตัวละครต่าง ๆ ได้ออกมาโลดแล่นแสดงความรู้สึกทางอารมณ์ให้กับผู้ชม แม้เขาจะไม่ได้เป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงในวงกว้างเทียบเท่ากับนักแสดงกระแสหลัก แต่ในเวทีระดับโลก “อุ้ม” ได้พิสูจน์ตัวเองกับการเป็นนักแสดงที่มีความสามารถที่ยอมทุ่มเทหลาย ๆ สิ่ง ให้กับงานศิลปะด้านการแสดงในภาพยนตร์เรื่องต่าง ๆ เหล่านี้อย่างสุดตัว
/
คงปฏิเสธไม่ได้ว่าก่อนหน้านี้เราได้รู้จักกับเธอคนนี้ในชื่อของ พัด หรือที่ชอบเรียกติดปากกันว่า พัด ZWEED N’ ROLL เจ้าของเสียงทุ้มมีเสน่ห์ นักร้องและนักแต่งเพลงที่ฝากผลงานเพลงเศร้าเอาไว้ในวงการมากมาย อาทิ ช่วงเวลา, Diary, อาจเป็นฉัน และอีกมากมาย ไม่มีอะไรแน่นอนแม้กระทั่งตัวเราเอง ช่วงเวลาจึงได้พัดพาให้เรามาทำความรู้จักกับ “MAMIO” ในฐานะศิลปินใหม่จากค่าย Warner Music Thailand ซึ่งเป็นอีกตัวตนหนึ่งของคุณพัดที่ไม่เคยถูกปลดปล่อยออกมาเลยตลอดชีวิตการทำงานในวงการสิบกว่าปีที่ผ่านมา หรือถ้าจะให้ซื่อสัตย์กับตัวเองจริง ๆ ก็อาจจะเป็นทั้งชีวิตที่เกิดมาเลยเสียด้วยซ้ำ
/
Whispers เป็นหนึ่งในวงดนตรีที่สะท้อนการเติบโตของวงการ Hardcore ในประเทศไทยอย่างแท้จริง ตั้งแต่จุดเริ่มต้นที่เป็นเพียงกลุ่มเพื่อนที่หลงใหลในดนตรี เพราะนอกจากจะเป็นผู้เล่น พวกเขายังเป็นกำลังสำคัญที่คอยผลักดันซีนฮาร์ดคอร์ในบ้านเรามาโดยตลอด ประสบการณ์ที่สั่งสมทำให้เกิดเป็นสไตล์เฉพาะของ Whispers สร้างความแตกต่างและเป็นเอกลักษณ์ จนทำให้พวกเขาก้าวไปสู่เวทีระดับสากล ถึงแม้พวกเขาจะอยู่ใต้ดินของไทย แต่เสียงคำรามของพวกเขาก็ดังไปไกลถึงทวีปยุโรป มาพบกับเส้นทางดนตรีที่เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจและการเปลี่ยนแปลง กับวงฮาร์ดคอร์ระดับบท็อปของ Southeast Asia
/
ด้วยลายเส้นที่เป็นเอกลักษณ์และรูปแบบงานสักของเขา ที่เรารู้สึกแปลกประหลาดกว่างานสักอื่น ๆ (แปลกประหลาดในที่นี้คือความหมายในแง่ดีนะ) ก็เลยตัดสินใจส่งข้อความทักไปหา “พี่นัทครับ ผมขอสัมภาษณ์พี่ได้ไหม” “ได้ครับ” สั้น ๆ แต่จบ เรื่องราวทั้งหมดก็เลยเริ่มต้นขึ้นที่ร้าน CAVETOWN.TATTOO แถว ๆ ปิ่นเกล้า ซึ่งพี่นัทเป็นเจ้าของร้านแห่งนี้ บทสนทนาของเราเริ่มกันในช่วงเวลาบ่าย ๆ ของวันพฤหัส พอไปถึงร้านพี่นัทกำลังติดงานสักให้กับลูกค้าอยู่หนึ่งคน พอได้เห็นลายที่เขาสักต้องบอกว่าเท่มาก ๆ มันมีความเป็น Psychedelic บวกกับ Ornamental ผสมผสานกับเทคนิค Dotwork จนกลายเป็นงานศิลปะบนผิวหนังหลังฝ่ามือ เราถึงกับต้องถามคำถามโง่ ๆ กับลูกค้าที่ถูกสักว่า “เจ็บไหม” แน่นอนคำตอบที่ได้คือ “โคตรเจ็บ” เพราะจุดที่สักคือหลังฝ่ามือ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งจุดที่หลายคนร่ำลือกันว่าโคตรเจ็บ ระหว่างที่รอพี่นัทไปพลาง ๆ น้องแมคช่างภาพที่มีรอยสัก Full Sleeve เต็มแขนขวา ก็เริ่มกดชัตเตอร์กล้องถ่ายรูปเก็บภาพระหว่างที่เขาสักไปด้วย พอสักเสร็จเรียบร้อยก็ปล่อยให้พี่เขาพักผ่อนกินน้ำ ปัสสาวะ (อ่านแยกคำนะอย่าอ่านติดกัน) ก่อนจะพูดคุย แต่เดี๋ยว ! ก่อนจะเริ่มบทสนทนา เราขอเกริ่นให้ฟังซักนิดนึงเกี่ยวกับชายคนนี้ก่อน
/
ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่ปีวงดนตรีสัญชาติไทยที่ชื่อ KIKI ได้ก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในวงที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากจากทั้งในประเทศไทย ญี่ปุ่น ไต้หวัน สิงคโปร์ ฮ่องกง ก็เพราะด้วยเสียงเพลงที่มีความเป็นเอกลักษณ์ และการนำเสนอแนวคิดที่ไม่เหมือนใคร รวมถึงความตั้งใจในการสร้างสรรค์ผลงานที่สะท้อนถึงตัวตนของพวกเขาได้อย่างชัดเจน
We use cookies, localStorage and other technologies (collectively, "cookies") to recognise your browser or device, learn more about your interests, and provide you with essential features and services and for additional purposes. ( see details )