

ในฐานะผู้กำกับ เต๋อ - นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์ มีลายเซ็นในหนังของตัวเองอย่างชัดเจน แต่เต๋อบอกว่าระยะหลังเขาชอบดูหนังที่ดูแล้วเกิดคำถามต่างๆ ตามมามากกมาย เขาบอกว่า “หลังๆ ผมดูหนังแบบมั่วๆ ไม่ค่อยได้สนใจว่ามันดีหรือเปล่า หรือมันเป็นหนังคุณภาพนะ ผมดูหนังไปเรื่อยมากกว่า สำหรับผมการดูหนังในตอนนี้คือเหมือนเราเก็บกระเป๋าไปทัวร์โลกในหัวผู้กำกับ ว่าในหัวมีอะไรบ้าง กูอยากไปเจอของใหม่ๆ บ้าง ในฐานะคนทำหนังเราไม่ควรติดกับตัวเองไปเรื่อยๆ ไม่ได้หมายถึงว่าเราจะเปลี่ยนแนวนะ แต่เราอยากออกไปจากโลกที่เราคุ้นเคยบ้างมากกว่า” IAMEVERYTHING เลยลองถามเล่นๆ ว่าหนังที่เขาดูแล้วถึงกับเกาหัวอุทานว่า “อะไรของมึงวะเนี่ย” ห้าเรื่องนั้นมีอะไรบ้าง


“ก่อนหน้านี้เวลาเราทำหนังผมรู้สึกว่าเราต้องใช้เหตุผลมากเลย การเล่าเรื่องหรือเหตุการณ์ต่างๆ ที่ตัวละครต้องไปเจอไปทำมันต้องมีเหตุผลนะเว้ย แต่เรื่องนี้เป็นหนังที่ดูแล้วทลายทุกกฎที่ผมเคยเจอเลยนะ เหมือนผู้กำกับ (จีน สตูปนิตสกี) มันอยากทำหนังแบบ เซ็ธ โรแกน พูดเหี้ยๆ แต่ตัวละครเป็นเด็กประถมมาพูดเสื่อมๆ เหี้ยๆ แล้วผมก็ไม่รู้ว่าน้อง จาค็อบ เทรมเบลย์ เขารับเล่นเรื่องนี้ได้ยังไง เป็นหนังที่ดูแล้วรู้สึก what the f**k มาก แบบว่ามึงทำแบบนี้ก็ได้เหรอวะ ไม่มีเหตุผลเลย แล้วกูก็เชื่อด้วยนะ ตอนดูในโรงน่ะ แบบ เออก็ได้ ก็ได้ กูเชื่อ อันนี้เป็นหนังรุ่นใหม่ๆ ที่ดูแล้วแบบ เออ มึงไร้สาระแต่ก็ดีว่ะ”
รู้จัก “Good Boy” https://www.imdb.com/title/tt7343762/


“เป็นหนังที่ผมสงสัยว่า อดัม แมคเคย์ มันเป็นคนยังไงถึงทำหนังแบบนี้วะ มันเหมือนเรามีเพื่อนกี๊คๆ (Geek) คนหนึ่งมาถามเราว่า ‘เฮ้ย มึงพอมีเวลาว่างสักสามชั่วโมง เดี๋ยวกูเล่าเรื่องตลาดหุ้นให้ฟัง’ แล้วสามชั่วโมงนี้แม่งเล่าอย่างเร็วเลยนะ ไม่มีหยุดพักเลย แล้วพอดูจบแล้วเราถามตัวเองว่า มึงรู้เรื่องหรือเปล่าวะ...ก็ไม่นะ (หัวเราะ) มันเหมือนผู้กำกับมันเปิดไฟล์คีย์โน้ตเล่าเรื่องให้เราฟังแล้วมันกดสไลด์รัวๆ เร็วๆ จนจบสามชั่วโมง พอดูจบผมถามตัวเองว่าแล้วตกลงมึงรู้สึกยังไงกับหนังเรื่องนี้วะ แต่เชื่อไหมว่านี่เป็นหนังที่ผมย้อนกลับมาดูบ่อยมาก เพราะตอนแรกกูดูไม่ทัน (หัวเราะ) ต้องมาดูใหม่ ไหนมึงยังไงนะ ขออีกทีสิ ซึ่งผมว่าผู้กำกับแบบนี้แหละ เป็นผู้กำกับที่เก่งและมั่นใจ แบบว่า ‘กูจะเล่าของกูแบบนี้แหละ ดูไม่ทันก็เรื่องของมึง’ อดัม แมคเคย์แม่งต้องเห็นภาพทุกอย่างในหนังของมันแล้วจริงๆ แต่ผมว่าเจ๋งนะ เพราะเรื่องตลาดหุ้นแบบนี้ผู้กำกับส่วนใหญ่เขาจะเล่าให้เครียด ดราม่า แต่มันเล่าให้ตลกได้ แต่พอจบก็กลับมาเครียดแบบเดิม เป็นหนังคุณภาพที่เสือกตลกเฉย เก่งมาก ไม่รู้ทำได้ไง
รู้จัก “Big Short” https://www.imdb.com/title/tt1596363/


“อันนี้ก็โคตร Supervisual เหลือเกิน และต้องดูในโรงภาพยนตร์เท่านั้น ถ้าไม่ได้ดูในโรงมันเท่ากับไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้จริงๆ เพราะมันต้องดูในที่มืดๆ และจอใหญ่ๆ ไอ้พวกฉากแว้บๆ แสง สโตรคต่างๆ มันจะทำงานกับสายตาเราได้อย่างสุดๆ ไม่รู้ใครออกเงินให้มัน (กาสปาร์ โนต์) ทำ ดูแล้วแบบ... ‘นี่คือเหี้ยอะไรครับเนี่ย อยู่ดีๆ มึงก็กลายเป็นผี กูตามไม่ทัน อะไรแบบนี้’ คือผมชอบที่ผมใช้ศักยภาพของการเป็นภาพยนตร์ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยมากๆ เท่าที่จะทำได้กับเนื้อเรื่อง คิดว่าเป็น experience ที่ต้องดูในโรงเทานั้น เพราะนอกจากแสงสโตรคต่างๆ ที่อลังการแล้ว คัตติ้งของมันยังทำงานอย่างมีความหมาย เพราะหนังมันเป็นเหมือน point of view ของตัวละคร เวลาตัวละครกะพริบตา พึ่บบ...เหมือนเอาเฟรมนึงออกแล้วก็เหมือนตัวละครกะพริบตา เออ ผมรู้สึกว่าแม่งแจ๋วว่ะ ใช้ได้เลย”
.
รู้จัก “Enter the Void” https://www.imdb.com/title/tt1191111/


“ฮาร์โมนี่ย์ โครีน เป็นผู้กำกับหนังอย่าง “Gummo” (1997) เขียนบทหนังเรื่อง “Kids” (1995) “Trash Humpers” มันเป็นหนังที่ประหลาด คือมันถ่ายด้วยกล้องวีดีโอแบบแฮนดีแคม กล้อง Hi8 บ้านๆ อะไรแบบนั้น คือผมไม่รู้จะอธิบายหนังหรือตัวละครของ โครีน ได้ยังไง แต่เอาเป็นว่าตัวละครเป็นคนนะ แต่พวกเขาจะใส่หน้ากากยางที่ดูเป็นคนแก่ หนังเรื่องนี้ก็คือเอากล้อง Hi8 ไปถ่ายคนพวกนี้ในซอยว่าวันๆ พวกเขาทำอะไรกัน ก็แบบ...เอาถังขยะ (หัวเราะ) คือผมไม่รู้ว่าตัวละครมันเป็นยังไงนะ แต่มันให้ประสบการณ์ที่หลอนสัดๆ ทั้งที่รู้ว่ามันไม่จริง มันเป็นหนัง มันสมมติ แต่ก็รู้สึกว่ามันจริงอยู่ดีน่ะ มันดูน่ากลัว ผมเคยอ่านบทสัมภาษณ์ ฮาร์โมนี่ย์ โครีน เขาพูดถึงหนังเรื่องนี้ว่า ‘อยากให้หนังเรื่องนี้มันเหมือนกับคุณเก็บวีดีโอม้วนนึงได้จากถังขยะ แล้วคุณก็สงสัยว่ามันมีอะไร เลยเอากลับมาเปิดดูที่บ้าน แล้วพบว่านี่มันคือเหี้ยอะไรครับ คนพวกนี้มันคือใคร ทำสิ่งต่างๆ ไปทำไม’ เออ รู้สึกว่าเรื่องนี้มัน what the f**k สำหรับผมมาก ดูรอบเดียวแล้วจำได้เลย”
รู้จัก “Trash Humpers” https://www.imdb.com/title/tt1488163/?ref_=nv_sr_srsg_4


MV ส่วนใหญ่ของ The Beastie Boys
“ขอแบบไม่เป็นหนังบ้างแล้วกัน MV ส่วนใหญ่ของ The Beastie Boys สไปค์ จอนซ์ จะเป็นคนกำกับ ซึ่งผมดูทีไรก็ได้แต่...อะไรของมึงวะ...แบบ แต่งตัวเป็นตำรวจปลอม พร็อพฯ ก็ปลอม แล้วมึงมาทำเหี้ยไรกันในนี้ก็ไม่รู้ จังหวะเล่าเรื่องก็ประหลาด มันมีความไม่รู้เรื่องอยู่นิดนึง แต่ที่ผมชอบก็คือ....ส่วนใหญ่ผู้กำกับเล่าเรื่องเขาจะเล่าแบบ narrative ใช่ไหม คือเล่าเรื่องนี้ แบบนี้ เปิดแบบนี้ไปแบบนี้ ไปสู่อันนี้อันนั้น คือยึดเรื่องเล่าเป็นหลัก ไม่มีไม่ได้ เอนเตอร์เทนผู้คนด้วยเรื่องเล่า แต่สายของ สไปค์ หรืออะไรพวกนี้ ก็เจะเป็นสาย experimental คือสายทดลอง เขาจะเชื่อว่าถ้ามึงจะทำหนังเพราะแค่อยากเล่าเรื่องคนสองคนคุยกัน มึงเขียนเอาก็ได้ แต่หนังมันทำอะไรได้มากกว่านั้น แล้วผมเป็นผู้กำกับที่ยืนอยู่บนสองฝ่ายเลย หนังผมก็คิดว่าเรื่องมันสำคัญ แต่ก็อยากทดลองว่าในความเป็นหนังเนี่ยมันทำอะไรเพิ่มอีกได้บ้าง หนังเป็นเครื่องมือเดียวที่ทำอะไรแบบนี้ได้ มันสามารถฉายภาพม้ากำลังวิ่งแล้วตัดกลับมาเป็นหน้าผู้หญิงใกล้ๆ แล้วคนดูจะคิดว่ามันต้องมีอะไรหรือเปล่า Motion Picture เป็นศิลปะที่ทำอะไรแบบนี้ได้ ผมก็เลยรู้สึกว่า เอ็มวี ของพวกนี่มันทะลุกรอบการเล่าเรื่องไปแล้ว ซึ่งแน่นอนว่าถ้ามันเป็นหนังจริงๆ คงไม่น่าสนใจเพราะโดยธรรมชาติคนก็อยากรู้เรื่องว่าอะไรเป็นอะไร แต่พอเป็นเอ็มวี มันก็เล่าเรื่องที่ไม่มีเรื่องอะไรแบบนี้ได้”